ณ เวลาที่เขียนอยู่นี้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ โดยคะแนนของ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตได้เสียงคณะผู้เลือกตั้ง 264 เสียง และ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันได้แล้ว 214 เสียง
แนวโน้ม โจ ไบเดน จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 โดยต้องการอีกเพียงแค่ 6 เสียง มีสูงมากขึ้นตามลำดับ แต่เหตุการณ์นี้ไม่ง่าย เมื่อทรัมป์ฟ้องศาลสูงสุดไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการนับคะแนนที่ส่งมาทางไปรษณีย์ในรัฐที่
เดโมแครต กุมกลไกรัฐ จึงน่าจะยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่งจึงจะตัดสินเกมกันได้
ที่แน่ๆ ไม่ว่าใครจะมาเป็น ไทยก็อ่วมทั้งนั้น หากพิจารณาจากนโยบายของทั้งคู่ในการขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ แน่นอนหาก ทรัมป์ ดื้อไปต่อได้ โลกและไทย ยังคงผวาจากสงครามการค้าที่สาดใส่จีนอย่างแข็งกร้าวเมามันมากขึ้น ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง อเมริกาต้องมาก่อน
ทรัมป์เล่นกับคู่ค้าไม่เฉพาะจีนที่ใช้มาตรการตอบโต้หนักๆ แต่จะตอบโต้โดยตรงกับทุกชาติ ที่ทำให้ประเทศเขาเสียประโยชน์ ไม่รอมชอมยกเว้นแม้กระทั่งชาติเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจต่อรองอย่างไทย
ดูจากกรณีการตัดสิทธิจีเอสพีล่าสุด ก็เป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดีว่าพร้อมห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา โดยไม่สนใจรับฟังเหตุและผล ที่ผ่านมา 4 ปีก็ประจักษ์ชัดหลายนโยบายของทรัมป์ทิ่มแทงเข้ามาโดยตรงและทำให้ไทยได้รับผลกระทบ
ผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักธุรกิจไทยจึงเทใจเชียร์ โจ ไบเดน มากกว่าให้ ทรัมป์ ต่อตั๋วไป 4 ปี แต่คนอเมริกันจำนวนมากที่สัมผัสและใช้ชีวิตโดยตรงที่นั่น ยังต้องการให้ทรัมป์ปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ใครขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐ เราก็อ่วม เรียกว่าแดงก็โดน น้ำเงินก็ช้ำ อยู่ที่ช้ำมากช้ำน้อยเท่านั้น เพราะสหรัฐต้องการคงไว้ซึ่งความเป็นมหาอำนาจแข่งกับจีน นำไปสู่การปลุกความแป็นชาตินิยมและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง
ลองส่อง โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ดู เขาประกาศอะไรไว้บ้าง
ด้านภาษี จะเก็บเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% และขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดอัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากอัตราปัจจุบันที่ 37% นอกจากนี้จะเก็บภาษีกำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital gains tax) ในอัตราเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้เข้าคลัง
ไบเดนเชื่อมั่นนโยบายการค้าเสรี ผลักดันการใช้แนวทางการเจรจาผ่านองค์กรการค้าโลก เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ ไม่ให้เสียเปรียบกับคู่เจรจา
ไบเดนใช้ “Buy American” โครงการมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้เงิน 4 แสนล้านดอลลาร์กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ผ่านการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ลงทุนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ 5G, ยานยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
“การใช้นโยบายแข็งกร้าวกับคู่ค้าทำให้สหรัฐถูกโดดเดี่ยว และสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำในระบบการค้าเสรี เปิดโอกาสให้จีนเข้ามีบทบาทแทนที่”
จากแนวทางของไบเดน ดูเหมือนมีช่องให้ไทยหายใจ หายคอมากว่าทรัมป์อยู่บ้าง
อย่ากระนั้นสิ่งที่ไทยทั้งรัฐและเอกชน ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับสถานการณ์และทิศทางที่จะเกิดขึ้นกรณีไบเดนขึ้นแท่น
การสร้างภูมิคุ้มกันให้ภาคการผลิตมีความแข็งแกร่ง สร้างอำนาจในการต่อรองกับคู่เจรจา ในแง่การค้าปฏิเสธไม่ได้เลยที่จะต้องเร่งหาทางในการวางท่าทีเจรจาการค้าในกรอบภูมิภาค หรือกรอบพหุภาคีในภาพใหญ่
การเข้าร่วมกรอบการค้าเสรีต่างๆ มีความจำเป็นที่ต้องพิจารณากันอย่างเร่งด่วนในขณะนี้ หากไบเดนขึ้นมาแน่นอน ต้องหันกลับไปมองและร่วมกลุ่มเขตการค้าเสรีทรานส์แปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ที่สหรัฐริเริ่มไว้เดิมโดยพรรคเดโมแครตสมัย ฮิลลารี่ คลินตัน ซึ่งไทยต้องไม่โยนกันไปโยนกันมาและศึกษาเพิ่มเติมกันไปเรื่อยๆ
“หาก โจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี จะมีผลดีกับตลาดเงิน โดยเงินทุนเคลื่อนย้าย Fund Flow จะกลับมา” เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท. ระบุ
อันที่จริงไม่น่าเฉพาะตลาดเงินหรือเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ดูจากแนวคิดเดโมแครตแล้ว การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสหรัฐออกมาลงทุนต่างประเทศก็เป็นปัจจัยที่ถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ
อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรับการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี ที่ต้องเตรียมความพร้อมตัวเองแข่งกับเวียดนามให้ได้ ซึ่งทั้งรัฐและเอกชนต้องเห็นพ้องและเดินทางเดียวกันในจุดนี้ รวมทั้งภาคประชาสังคมที่ต้องไม่ปฏิเสธทุนข้ามชาติในทุกกรณี
ทุกฝ่ายต้องเร่งปรับตัวรับมือกับคลื่นใหม่ๆ มรสุมลูกใหม่ที่กำลังเข้ามา ก่อนที่จะสูญเสียโอกาสไป
ต้องเริ่มลงมือกันตั้งแต่วันนี้แล้ว!!