>> ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานดัชนี หลังจากที่หลายบริษัทได้แจ้งผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 4/63 และงวดปี 2563 ออกมา หุ้นหลายตัวที่เคยทำได้ดีในปี 2562 กลับทำได้ไม่ดีนักในปี 2563 โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่มีอิทธิพลกับตลาดฯ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคารซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจแรกๆ ที่แจ้งผลการทำงานออกมา ก็พบว่าผลการดำเนินงานโดยเฉลี่ยของทุกบริษัทปรับลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่หุ้นในกลุ่มนํ้ามันก็เป็นหุ้นอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เพียงแค่มีกำไรที่ลดลงเพียงเท่านั้น แต่ยังก้าวข้ามไปถึงระดับของการขาดทุนเลยทีเดียว ในขณะที่หุ้นกลุ่มโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ขณะเดียวกันไม่เพียงตลาดหุ้นไทยเท่านั้น...ในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด จะมีก็เพียงราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น โดยปัจจัยล่าสุดที่ทำให้ราคานํ้ามันดิบขยับขึ้นไปอีก คือเรื่องของอากาศหนาวในสหรัฐอเมริกาที่หนาวที่สุดในรอบ 40 ปี มีผลทำให้การผลิตนํ้ามันดิบในสหรัฐต้องลดปริมาณการผลิตลง 4-6 ล้านบาเรลต่อวัน ขณะที่มูลค่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่สูงขึ้น ก็ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเกิดความกังวลว่าจะมีเม็ดเงินบางส่วนไหลออกจากตลาดหุ้นเข้าไปสู่ตลาดพันธบัตร
การเลือกลงทุนในหุ้นในช่วงนี้ เจ๊เมาธ์ มองว่าควรเลือกลงทุนเป็นรายตัวน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะหุ้นหลายตัวที่นักลงทุนมองว่าราคาตํ่าแล้ว...ในภาวะตลาดแบบนี้ราคาหุ้นก็อาจยังตํ่าลงไปได้อีก ดังนั้นถ้ายังไม่มั่นใจจริงๆ นั่งทับมือไว้ก็ได้นะคะ บางที...การไม่ลงทุนก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ
>> ในที่สุดก็เห็นบทเฉลยของราคาหุ้นที่ปรับร่วงลงมาโดยตลอดของ CPALL เพราะผลการดำเนินงานงวดปี 2563 ของบริษัท มีกำไร 1.61 หมื่นล้านบาท ปรับลดลงไปถึง 27.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีกำไร 2.23 หมื่นล้าน สาเหตุหลักก็เป็นเรื่องของรายได้จากการขายสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่ปรับลดลงไปโดยมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ซึ่งทำผู้บริโภคภายในประเทศใช้เงินด้วยความระมัดระวังในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่อำนวย การจำกัดการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจของทางภาครัฐก็ไม่ทำให้ร้าน 7-11 ได้รับประโยชน์ ขณะที่การแพร่ระบาดรอบที่ 2 ภายในประเทศ นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวได้ช้ามากขึ้น ยังทำให้ประมาณการนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในประเทศในปี 2564 ถูกปรับลดเหลือเพียง 8 ล้านคน จาก 14 ล้านคน
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ Covid-19 ที่เริ่มเห็นผลว่าสามารถจำนวนผู้ติดเชื้อได้จริงในหลายประเทศ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเทสโก้ก็ยังพอที่จะทำให้ CPALL ยังมีโอกาสเงยหน้าขึ้นมาได้บ้าง ดังนั้นผลการดำเนินงานที่ปรับลงมาในปี 2563 ก็ไม่ได้หมายความว่า CPALL จะหมดหวังไปซะทีเดียว อย่างมากก็แค่ฟื้นตัวช้าเท่านั้นเองเจ้าค่ะ (ฮา)
>> SA ของ “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” แตกต่างจากบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ทั่วไปเนื่องจากการใช้กลยุทธ์ Branded Residence เข้ามาปรับเปลี่ยนโครงการคอนโดฯ ธรรมดาๆ ให้เป็นโรงแรม โดยมีแบรนด์โรงแรมตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาว เป็นพันธมิตร อาทิ Q-Box, Ramada, Ramada Plaza, Crown Plaza, Wyndham เป็นต้น ซึ่งการใช้กลยุทธ์ Branded Residence ทำให้เกิดข้อดีหลายอย่าง อาทิ สามารถใช้จุดแข็งของชื่อเสียงแบรนด์โรงแรมเป็นจุดขาย เสนอบริการแบบโรงแรมให้ลูกค้าที่มาซื้อห้องชุด รับบริหารจัดการปล่อยเช่าให้กับลูกค้าด้วยระบบบริหารจัดการของโรงแรมที่เป็นมือ โครงการคอนโดฯที่ยังขายไม่หมด ไม่จำเป็นต้องเสนอโปรโมชั่นลดราคาเพื่อปิดโครงการ แต่กันห้องชุดบางส่วนขึ้นมาเป็นโรงแรม และเตรียมพร้อมขายเข้ากอง REIT ได้ในอนาคต โดยปัจจุบันโครงการของ SA ที่ใช้กลยุทธ์นี้มีอยู่ 6 แห่ง และโครงการใหม่ๆหลังจากนี้ เชื่อว่าจะเป็นโครงการรูปแบบที่จะมีพันธมิตรโรงแรมเกือบทุกโครงการ และเพราะความแตกต่างแบบนี้ บล.เคจีไอ จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมเท่ากับ 9.25 บาท/หุ้น เพราะฉะนั้นจับตาดู SA ให้ดีนะคะ
>> SAWAD ของ “ดวงใจ แก้วบุตตา” มีพัฒนาการที่น่าสนใจมากขึ้นทุกวัน เริ่มจากการจับมือกับธนาคารออมสิน ในบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% เพื่อการดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ต่อมายังมีการตกลงร่วมลงทุนกับบริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE โดยบริษัทโนเบิลฯ ประสงค์จะร่วมทุนในบริษัทบริหารสินทรัพย์
เอส ดับบลิว พี จำกัด หรือ SWP ซึ่งดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) และเป็นบริษัทย่อยในสัดส่วน 20% นี้ ยังไม่รวมผลการดำเนินงาน 4/63 ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,120 ล้าบบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาส 4/62 และยังประเมินว่ากำไรในปี 2564 จะอยู่ที่ 5,242 ล้านบาท เติบโต 19% อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะได้เห็นราคาหุ้นของ SAWAD ยังไปต่อได้อีกนะคะ
>> ราคาหุ้นของ VL ยังวิ่งไม่หยุด โดยนักวิเคราะห์คาดว่ากำไร 4Q63 จะเร่งขึ้นอีกเป็น 23 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส จากรายได้ขนส่งนํ้ามันที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมต้นทุน+ค่าใช้จ่าย ทำให้คาดกำไรทั้งปีจบที่ 83 ล้านบาท โดยปัจจุบัน VL มีเรือ 13 ลำ แบ่งเป็นเรือขนส่งนํ้ามันใส 11 ลำ (วิ่งจากภาคตะวันออกไปภาคใต้) และขนส่งนํ้ามันปาล์ม 2 ลำ (วิ่งต่างประเทศในแถบอาเซียน) และการได้ ปตท. เข้ามาเป็นลูกค้ารายใหม่ที่มีความต้องการขนส่งนํ้ามันมากกว่าลูกค้ารายเดิม ซึ่งการเพิ่มเรือทุก 1 ลำ จะทำให้กำไรสุทธิโตเฉลี่ย 8-12% ต่อปี
ขณะที่ VL มีแผนจะเพิ่มเรือมากกว่าปีละ 1 ลำตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป เมื่อผนวกกับเส้นทางการขนส่งที่ไกลขึ้น (หนุนค่าขนส่งและอัตรากำไรสูงขึ้น), การปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เพื่อให้รองรับไบโอดีเซล, และผลของ Economy of scale จากการมีกองเรือเพิ่มขึ้น จึงทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปี 64 จะสูงกว่า 100 ล้านบาทเป็นปีแรก มีของดีๆ เจ๊เมาธ์ก็ต้องเอามาเล่าให้ฟังแบบนี้หละค่า