หลายประเทศทั่วโลกร่วมกระแสชุมนุมประท้วงเรียกร้องต่อต้านการเหยียดสีผิวและการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงเรียกร้องความยุติธรรมและความเท่าเทียมทางสังคม
ต้นเหตุของการประท้วงเกิดขึ้นหลัง นายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีแอฟริกัน-อเมริกัน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส ในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา จับกุมตัวโดยผลักเขาให้นอนคว่ำลงกับพื้นและใช้เข่ากดลงบนคอ ซึ่งแม้ว่านายฟลอยด์พยายามร้องบอกว่าเขาหายใจไม่ออก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงใช้เข่ากดที่คอนายฟลอยด์เป็นเวลาหลายนาที ก่อนที่เขาจะหมดสติ และเสียชีวิตก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้ประชาชนในหลายรัฐของสหรัฐร่วมประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมต่อเนื่องยาวนานหลายวันมาจนถึงขณะนี้เป็นเวลาราว 2 สัปดาห์แล้ว
ล่าสุดประชาชนจากหลายประเทศทั่วโลกได้ร่วมการประท้วงในประเทศของตัวเองเช่นกัน โดยในเยอรมนี มีประชาชนหลายหมื่นคนร่วมชุมชุมต่อต้านการเหยียดสีผิวและการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐ แม้จะมีมาตรการให้เว้นระยะห่างก็ตาม โดยผู้ชุมนุมแต่งกายด้วยชุดดำพร้อมถือป้ายสนับสนุน "Black Lives Matter" (ชีวิตคนดำก็มีความหมาย) และรวมตัวสงบนิ่งเป็นเวลา 8 นาที 46 วินาที ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เข่ากดคอนายฟลอยด์จนหมดสติ
ขณะที่ในไอร์แลนด์ ประชาชนหลายพันคนรวมตัวกันคุกเข่าลงนอกสถานทูตสหรัฐในไอร์แลนด์เป็นครั้งที่ 3 หลังจากเหตุสังหารนายฟลอยด์ โดยเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการเหยียดเชื้อชาติที่หยั่งรากลึกในสังคมอเมริกันและในประเทศอื่น ๆ ด้วย
ในฝรั่งเศสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีประชาชนหลายหมื่นคนรวมตัวกันเดินขบวนในปารีสและเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสเพื่อยกย่องนายฟลอยด์
ที่อังกฤษ ประชาชนหลายพันคนเข้าร่วมกับขบวนประท้วง "Black Lives Matter" ในวันเสาร์ ผู้ร่วมประท้วงรวมตัวกันใจกลางกรุงลอนดอน และคุกเข่าลงระหว่างสงบนิ่ง ก่อนจะตะโกน "ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีสันติภาพ" โดยผู้ร่วมประท้วงจำนวนมากสวมใส่หน้ากากอนามัยและเคารพมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในระหว่างร่วมชุมนุม
ทางด้านออสเตรเลีย มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมในการชุมนุม Black Lives Matter ในหลายเมืองทั่วประเทศ โดยฝูงชนจำนวนมากได้มารวมตัวกันก่อนถึงกำหนดเวลาการชุมนุม และเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการยืนยันว่า ศาลสูงสุดของออสเตรเลียตัดสินใจอนุญาตให้สามารถชุมนุมได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอำนวยความสะดวกและรักษาความสงบให้กลุ่มผู้ชุมนุม
ประธานาธิบดีไซริล รามาโฟซาของแอฟริกาใต้กล่าวในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ชาวแอฟริกาใต้จะยืนเคียงข้างพี่น้องชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในการต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติ พร้อมเน้นว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งทำให้พลเมืองผิวดำต้องอาศัยอยู่ในบริเวณยากจนห่างไกลจากงานและโอกาส
ส่วนในสหรัฐอเมริกานั้น การประท้วงยังคงมีอยู่ในหลายเมืองใหญ่ แม้จะมีการยกเลิกการประกาศเคอร์ฟิวในหลายพื้นที่รวมทั้งที่นิวยอร์คและในกรุงวอชิงตัน ดีซี นอกจากนี้ กำลังพลที่ถูกเรียกเข้าเสริมกำลังรายรอบกรุงวอชิงตันยังเริ่มทยอยเดินทางกลับฐานที่ตั้ง เช่นเดียวกับข่าวความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมก็เริ่มคลี่คลายเช่นกัน โดยน.ส.เคห์ลีย์ แมคอีแนนีย์ โฆษกหญิงทำเนียบขาว ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความเชื่อมั่นในตัวนายเอสเปอร์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ เนื่องจากเขาคือหนึ่งในบุคลากรสำคัญ ที่มีบทบาทในการรักษาความสงบเรียบร้อยบนท้องถนน และสามารถรับรองความปลอดภัยให้กับชาวอเมริกัน ในการใช้ชีวิตอยู่บนความสันติสุขและความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการ ศาสนสถาน และบ้านเรือนที่อยู่อาศัย จะได้รับความปลอดภัย
ท่าทีดังกล่าวของทำเนียบขาวเกิดขึ้นท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่ายในสหรัฐ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ที่มีความตึงเครียดจากกรณีการขอกำลังพลเข้าควบคุมความสงบในกรุงวอชิงตัน ดีซี
อ่านเพิ่มเติม
เพิ่มโทษ 4 อดีตตำรวจคดีฆ่า “จอร์จ ฟลอยด์”
“ทรัมป์”ขู่ใช้กฎหมาย 200 ปี สยบการจลาจลในสหรัฐ
“เคอร์ฟิว” เมืองใหญ่สหรัฐ ขอกองกำลังควบคุมสถานการณ์
“เทย์เลอร์ สวิฟต์” เปิดศึก “ทรัมป์” คนนับล้านกดไลค์
ประท้วง "สหรัฐ" ม็อบเดือดลามทั่ว ทวง “ความเป็นธรรม” แด่คนผิวสี
เทย์เลอร์ สวิฟต์ ทวีตเดือด ขู่โหวตไล่ “ทรัมป์” พ้นตำแหน่งพ.ย.นี้