นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจเมียนมาหลังรัฐประหาร คือ การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ และมีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างต่ำสามารถนำเข้าสินค้าได้ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น ขั้นต่ำของทุนสำรองระหว่างประเทศต้องสามารถนำเข้าสินค้านำเข้าอย่างน้อย 6 เดือน การที่เป็นเช่นนั้น เพราะประเทศเมียนมาภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารอันยาวนานก่อนคืนสู่ประชาธิปไตยเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ประเทศนี้ไม่มีการพัฒนาใดๆเมื่อเปิดประเทศต้องนำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆจำนวนมากรวมทั้งต้องนำเข้าสินค้าจำเป็นพื้นฐานบางอย่างไม่สามารถผลิตได้อย่างพอเพียงภายในประเทศ
เศรษฐกิจขยายตัวสูงมาพร้อมกับการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาลในช่วงที่สี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี พ.ศ. 2560 พม่าได้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 4.2% ต่อจีดีพี และ ขาดดุลการค้าสูงถึง 5% ต่อจีดีพี อัตราแลกเปลี่ยนจ๊าต (MMK) ค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบยุคเผด็จการทหารปกครองประเทศก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของค่าเงินจ๊าตจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังการรัฐประหาร การซื้อขายเงินจ๊าตในตลาดมืดหรือนอกระบบจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ธนาคารกลางพม่าได้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนรายวันโดยอ้างอิงจากตลาดจึงช่วยลดความแตกต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดและนอกตลาดได้ระดับหนึ่ง ธนาคารกลางพม่าได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปถึง 3% เมื่อปีที่แล้ว (ปี พ.ศ. 2563) เพื่อประคับประคองภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19)
“ในสถานการณ์เงินทุนไหลออกหลังการรัฐประหารเช่นนี้ ธนาคารกลางจะมีความยากลำบากในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อดูแลเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน เสถียรภาพของภาคธนาคารพม่ามีความเปราะบางและไม่มีการกำกับที่ดีนัก มีการใช้เส้นสายโดยผู้นำกองทัพในการทำโครงการขอสินเชื่อ และ โครงการจำนวนไม่น้อยกลายเป็นหนี้เสียในระบบ มาตรการ Prudential Regulations ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น การดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง การจัดชั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง การจัดชั้นของสินทรัพย์ การดำรงสภาพคล่อง ล้วนยังไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ฐานะการคลังก็ไม่มั่นคงเพราะรัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องหลายปีและมีหนี้สินต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง ส่วนใหญ่เป็นหนี้จากญี่ปุ่นและจีน”
นายอนุสรณ์ กล่าวต่ออีกว่า การรัฐประหารเมียนมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมียนมาเท่านั้นยังส่งผลกระทบต่อไทยและอาเซียนอีกด้วย ความรุนแรงของผลกระทบจากการรัฐประหารจะเพิ่มขึ้นอีกหากชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาจะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ประเทศเมียนมากลับคืนสู่ประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) เมื่อสี่ปีที่แล้วและชาติตะวันตกยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ประเทศเมียนมามีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.54% ในช่วงปี พ.ศ. 2558-2562
ทั้งนี้ จากข้อมูลการลงทุนของต่างประเทศของธนาคารโลก พบว่า เมียนมาเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มสูงเป็นอันดับต้นๆของโลกในยุคประชาธิปไตย โดยในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 ถึง เดือนกันยายน พ.ศ. 2563 มีมูลค่าลงทุนสูงถึง 5,500 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ามากกว่า 30% ความเสี่ยงจากการรัฐประหารและความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองจะทำให้การลงทุนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาวเคลื่อนย้ายมายังประเทศไทยและเวียดนามแทน
เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอาจได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายทุนเหล่านี้ เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ East-West Corridor อาจล่าช้าออกไปจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นกับโครงการเขตเศรษฐกิจทวายและการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจเมียนมา ส่วนมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาร์ในระดับ 1.5-1.8 แสนล้านบาทต่อปีน่าจะปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่า 20-30% ในปี พ.ศ. 2564 โดยสินค้าส่งออกไทยไปเมียนมาที่น่าจะหดตัวมากที่สุด ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักร เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
ส่วนสินค้าประเภท เครื่องดื่ม อาหาร ผ้าผืน ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมาก ส่วนสินค้านำเข้าจากพม่ามายังไทยยังคงขยายตัวได้ในระดับปรกติ ไม่ว่า จะเป็น สัตว์น้ำสดแช่แข็ง ไม้ซุง พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
รัฐประหารเมียนมาล่าสุดได้ซ้ำเติมปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำในประเทศเมียนมาให้ทรุดหนักลงกว่าเดิม สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นทำให้ ผู้ที่มีฐานะยากจนในประเทศเมียนมาเพิ่มจาก 22.4% ของประชากร ณ. สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 27% ณ. เดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2563 การรัฐประหารหากตามมาด้วยความรุนแรงน่าจะทำให้จำนวนคนยากจนขึ้นไปมากกว่า 30% ในระยะต่อไป
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า แม้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเมียนมาก็ยังขยายตัวเป็นบวกได้มากกว่า 1% เมื่อปีที่แล้ว การรัฐประหารล่าสุดและความรุนแรงทางการเมืองและทางการทหารจะทำให้การคาดการณ์เดิมว่า เศรษฐกิจพม่าจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 6.5% ในปี พ.ศ. 2564 เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย และ อาจจะปรับตัวลดลงมากถึง 5-6% หากมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก ธุรกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจได้รับผลกระทบจากควบคุมการสื่อสารโทรคมนาคม การปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ การตัดสัญญาณอินเตอร์เนตของผู้นำกองทัพกระทบต่อภาคธุรกิจ ตลาดการเงินและละเมิดสิทธิของประชาชนในสื่อสารต่อกัน
หากการเกิดจลาจลและการปราบปรามโดยใช้กำลังรุนแรงจะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนในพม่าสูงที่สุดคิดเป็น 34% ของมูลค่าลงทุนทั้งหมด และไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่เข้าไปลงทุนในพม่ามากที่สุดครอบคลุมกิจการหลายหลาย การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกอาจมีผลกระทบบางส่วนต่อการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) เท่านั้น เนื่องจากการลงทุนโดยตรงในพม่าส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศในอาเซียนและเอเชีย แต่จะมีผลกระทบต่อสินค้าที่ผลิตและส่งออกไปจากพม่ามากกว่า
นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว อาจมีผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศและผลกระทบต่อเอกภาพของประชาคมอาเซียนได้ การรัฐประหารได้ทำลายความเป็นสถาบันของระบอบประชาธิปไตยอันเป็นพื้นฐานสำคัญของเสถียรภาพในเมียนมาร์และภูมิภาคอาเซียน การรัฐประหารทำลายสันติภาพและอาจเปิดประตูให้กับการแก้ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยพม่าไปสู่แนวทางการใช้กำลังรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง มีผลกระทบต่อการค้าตามแนวชายแดนไทยพม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้างความยุ่งยากในการบริหารจุดผ่านแดน 21 จุดและ 3 ด่านสำคัญ มูลค่าตามแนวชายแดนน่าจะลดลงไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาทในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวแล้วขึ้นอยู่กับความสงบตามแนวชายแดนและกระบวนการเจรจาระหว่างกองกำลังของชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า หากกลุ่มผู้นำอาเซียนไม่ได้มีการหารือในเรื่องสถานการณ์ในเมียนมาให้ชัดเจน มีโอกาสที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะมีจุดยืนที่แตกต่างหลากหลายตามผลประโยชน์ของแต่ละประเทศต่อรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าชุดใหม่ แม้อาเซียนจะยึดถือแนวทางการไม่ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในต่อประเทศสมาชิก แต่อาเซียนเองก็เคยดำเนินนโยบายพัวพันอย่างสร้างสรรค์เพื่อผลักดันให้พม่าจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมและพัฒนาสู่ประชาธิปไตย
และเป็นเงื่อนไขสำคัญของอาเซียนในการรับประเทศเมียนมาเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของอาเซียน การไม่หารือกันให้ชัดเจนโดยเร็วอาจก่อให้ความแตกแยกในกลุ่มสมาชิกประชาคมอาเซียนจากจุดยืนที่แตกต่างกันต่อรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ขอให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนและบทบาทต่อการแก้ไขปัญหาในเมียนมาด้วยแนวทางสันติวิธี เคารพระบบนิติรัฐและหลักการประชาธิปไตยด้วยการเสนอให้สำนักเลขาธิการอาเซียนจัดการประชุมวาระพิเศษเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาการล้มล้างอำนาจของประชาชน ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการจับกุมสมาชิกรัฐสภา แกนนำฝ่ายค้าน นักวิชาการ สื่อมวลชน กลุ่มนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก
การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านการรัฐประหารอาจถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและอาวุธสงคราม หากอาเซียนนิ่งเฉย อาเซียนควรออกมาปกป้องสิทธิพื้นฐานดังกล่าวของประชาชนชาวเมียนมาและให้หลักประกันประชาชนจะไม่ถูกปราบปรามด้วยอาวุธเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นในหลายครั้งจากผู้นำเผด็จการทหารพม่ามือเปื้อนเลือดในอดีต
“หากผู้นำอาเซียนทำงานเชิงรุกและกระตือรือร้นต่อปัญหาประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา เหตุการณ์นองเลือดจากการปราบปรามของรัฐทหารพม่าอย่างเหตุการณ์ 8-8-88 และปราบปรามผู้ชุมนุมในเหตุการณ์การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ (Saffron Revolution) ต้องไม่เกิดขึ้น"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กองทัพเมียนมาสั่งปิด “ทวิตเตอร์-อินสตาแกรม” ยัน “ซูจี” ยังสบายดี
กทม.เปิดเพิ่มอีก 12 ราย ไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อโควิด-19
แจงยิบ14คำถามปมกังขา“วัคซีนโควิด-19“ นายกประยุทธ์ตอบทุกข้อ(มีคลิป)
"ชลบุรี" ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยสะสม 649 รายเสียชีวิต 1 ราย