"คนสาคร"รับผู้ว่าฯใหม่ฝากการบ้านหนัก"สยบโควิด-ฉีดวัคซีนถ้วนหน้า" 

20 ก.ย. 2564 | 01:48 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2564 | 08:59 น.

    ภาคธุรกิจ ท้องถิ่น ส.ว. ตลอดจนภาคประชาสังคม ฝากการบ้านผู้ว่าฯสมุทรสาครคนใหม่ ย้ำเรื่องหลักจัดการปัญหาโควิด-19 ที่รุนแรงไม่แพ้กรุงเทพฯ จี้เร่งจัดหา-ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมครบถ้วน ทั้งคนพื้นที่ ประชากรแฝง แรงงานต่างด้าว ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้โยกย้าย"สลับเก้าอี้"ผู้ว่าฯ 3 จังหวัด คือ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี จากผู้ว่าฯสมุทรสาคร ไปเป็นผู้ว่าฯอ่างทอง นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯอ่างทอง ไปเป็นผู้ว่าฯอุทัยธานี และให้นายณรงค์ ร้อยรัก ผู้ว่าฯอุทัยธานี ย้ายมาเป็นผู้ว่าฯสมุทรสาคร  โดยราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 14 ก.ย.2564 เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ระบุ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย.2564 
    

ทางด้านภาคส่วนต่าง ๆ ของจังหวัดสมุทรสาคร คาดว่าผู้ว่าฯใหม่จะมารับตำแหน่งในวันจันทร์ที่ 20 ก.ย. 2564 นี้ พร้อมทั้งสะท้อนความคาดหวังถึงปัญหาเร่งด่วน ที่ผู้ว่าฯคนใหม่ควรจัดลำดับความสำคัญและเร่งสะสาง ในภาวะที่สมุทรสาครยังเผชิญการระบาดเชื้อโควิด-19 ยืดเยื้อรุนแรง กระทั่งนายวีระศักดิ์เองยังต้องเป็นผู้ติดเชื้อเสียเองและภายหลังขอย้ายเนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย
    

โดยนายศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โจทย์สำคัญของจังหวัดสมุทรสาครที่นายณรงค์ ร้อยรัก ผู้ว่าราชการจังหวัดฯคนใหม่ ต้องเตรียมตัวมาแก้ ก็คือ
    

1.เรื่องการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ที่นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ได้วางแนวทางเอาไว้แล้ว เช่น เรื่อง โรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอยฯ โรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (Factory Accommodation Isolation-FAI  )และการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชน
    

2.โครงการพัฒนาจังหวัดต่อเนื่อง หลังการระบาดชองโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งเรื่องการพัฒนาเมือง การพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ    

3.แรงงานต่างด้าว จังหวัดสมุทรสาครเป็นปลายทางที่แรงงานต่างด้าวจะเดินทางเข้ามา ดังนั้น ถ้าหน่วยงานต้นทางสามารถควบคุมการหลบหนีเข้าเมืองได้ดี ทางสมุทรสาครก็จะไม่มีปัญหา และสามารถเอาแรงานเถื่อนขึ้นมาจากใต้ดินให้หมด ทั้งนี้เพราะสมุทรสาครมีความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าว ถ้าไม่มีแรงงานประเภทนี้การดำเนินกิจการต่าง ๆ ก็คงจะลำบาก
    

4.ความจำเป็นที่จะต้องจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แรงงานต่างด้าว ซึ่งถ้ายังไม่ฉีดวัคซีนให้คนกลุ่มนี้แล้ว คงมีโอกาสสูงมากที่โรคโควิด-19จะแพร่ระบาดออกไป เพราะแรงงานต่างด้าวนอกจากจะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีอยู่อีกเยอะมากในภาคครัวเรือนและในกิจการร้านค้า-ธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ทางจังหวัดสมุทรสาครจึงจำเป็นจะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานต่างด้าวในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว มิฉะนั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะไม่จบ
    

ด้านนายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า การย้ายครั้งนี้เนื่องจากนายวีระศักดิ์แจ้งว่าสุขภาพไปไม่ไหว จึงต้องถอยให้ผู้บริหารที่มีศักยภาพมากกว่ามาดูแล เพื่อจังหวัดสมุทรสาครจะได้สามารถขับเคลื่อนต่อไป ถือว่าเป็นการตัดสินใจโดยยอมรับสภาพความจริง ไม่พยายามฝืน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง ทั้งที่จังหวัดอ่างทองที่ย้ายไปก็มีศักยภาพทางเศรษฐกิจขนาดย่อมกว่าจังหวัดสมุทรสาคร     อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการจังหวัดฯครั้งนี้ คงไม่เกิดปัญหาตามมา เพราะสิ่งที่มั่นใจได้ก็คือจุดเด่นของจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีพื้นฐานในการบริหารงานแข็งแกร่งมาก และระดับล่างทุกฝ่ายทำงานเต็มที่

“คาดหวังว่าสิ่งที่ผู้ว่าฯคนใหม่จะต้องดำเนินการต่อก็คือ 1.สานต่อการทำงานเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 2.พัฒนาจุดแข็งต่าง ๆ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องความปลอดภัย สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข 3.สานต่อเรื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดสมุทรสาคร

4.สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นองค์กรที่พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และยินดีสนับสนุนงานของทางราชการอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับเอกชนทุกภาคส่วน ก็พร้อมที่จะรายงานจุดแข็งและจุดอ่อนของพื้นที่ให้ผู้ว่าฯคนใหม่รับทราบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทุกฝ่ายต่อไป”
    

เช่นกันนายชาธิป ตั้งกุลไพศาล ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า นายณรงค์ ร้อยรัก เป็นผู้บริหารที่ทุกคนยอมรับ และคงเข้าใจปัญหาของจังหวัดสมุทรสาครดี กับมีสไตล์การทำงานที่ไปในทางเดียวกับอดีตผู้ว่าฯ อีกทั้งจังหวัดสมุทรสาครก็ขับเคลื่อนด้วยระบบราชการหลัก ที่นายวีระศักดิ์ได้วางระบบเอาไว้ให้ดีอยู่แล้ว
    

นายชุมพล จันทร์จรัสวัฒนา นายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร ได้เปิดเผยว่า ผู้ว่าฯคนใหม่น่าจะมาเสริมจุดที่นายวีระศักดิ์มีปัญหาสุขภาพ และไม่สามารถลงพื้นที่ได้เต็มที่ เพราะปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 มีการเปลี่ยนปรับอยู่ตลอดแทบทุก 2-3 วัน ซึ่งปัญหาของจังหวัดสมุทรสาครนั้น จริง ๆ แล้วมีความรุนแรงหนักกว่าหรือไม่น้อยกว่าในกรุงเทพมหานคร เพราะมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูง ในขณะที่ความหนาแน่นของประชากรน้อยกว่ากรุงเทพมหานครมาก  ดังนั้น จังหวัดสมุทรสาครจึงควรฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ครบตามเป้าหมายและฉีดให้เสร็จเรียบร้อยตามแผนงาน เป็นอันดับแรกก่อนจังหวัดอื่น ๆ
    

ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ คนใหม่ ควรรับฟังเสียงของประชาชนทุกภาคส่วน และไม่ควรล็อกดาวน์ตลาดเพราะถ้าจะล็อกดาวน์ก็ควรทำก่อนที่โรคฯจะระบาดแพร่กระจาย แต่ถ้าโรคฯแพร่กระจายแล้วเช่นนี้ควรมาเน้นเรื่องการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงจะแก้ปัญหาได้มากกว่า

และจุดอ่อนที่ผู้บริหารจังหวัดต่างก็มองข้ามไปก็คือการฉีดวัคซีน ไม่ควรฉีดให้เฉพาะคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครเท่านั้น เพราะจังหวัดสมุทรสาครเป็นเมืองเศรษฐกิจ มีประชากรแฝงจากจังหวัดอื่นเข้ามาทำงานและมีแรงงานต่างด้าวอยู่เป็นจำนวนที่เยอะมาก เช่นในเขตเทศบาลนครฯ พบคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่เพียงประมาณ 30 % นอกนั้นอีกประมาณ 70 % เป็นประชากรที่แฝงเข้ามาทำงานในพื้นที่ จึงควรฉีดวัคซีนให้หมดทั้งคนมีทะเบียนบ้าน ประชากรแฝง แรงงานต่างด้าว นักเรียน เด็ก 
    

"ถ้าฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากที่สุดแล้ว ปัญหาอื่น ๆ ทางเทศบาลนครฯและผู้บริหารท้องถิ่น จะสามารถเข้าไปควบคุมจัดการให้ได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการจะได้เกิดความมั่นใจ รวมถึงเพื่อให้ผู้มาใช้บริการ ลูกค้า นักท่องเที่ยว ผู้ที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าต่างก็จะได้เกิดความมั่นใจ และจะได้ทำให้เศรษฐกิจในภาครวมสามารถฟื้นตัวได้โดยเร็ว” นายชุมพลกล่าว
    

ด้านนายบุญชู นิลถนอม หรือกำนันหลอ นายกเทศมนตรีนครอ้อมน้อย ได้เปิดเผยว่า นโยบายต่าง ๆ ของจังหวัดสมุทรสาครนั้น นายวีระศักดิ์ได้ทำไว้ดีอยู่แล้ว ปัญหาของเทศบาลนครอ้อมน้อยก็คงเป็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาน้ำเสีย ปัญหาน้ำเซาะตลิ่ง ส่วนปัญหาเรื่องโรคโควิด-19 และปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าว ก็ยังทรงตัวตามปรกติในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

โดยปัจจุบันทางเทศบาลนครอ้อมน้อยมีโรงพยาบาลสนามสีเหลือง ขนาด 200เตียง 1 แห่ง มีโรงพยาบาลสนามสีเขียว 1 แห่ง มีศูนย์พักคอยฯ 1 แห่ง และมี FAI อยู่ในโรงงานต่าง ๆ อีกหลายแห่งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
    

พ.ต.ท.สุรินทร์ ชัยพานิช ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อม ได้เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นายณรงค์ ร้อยรักต้องเร่งรีบใช้ตำแหน่งประคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครเพื่อแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเร็ว โดยรับฟังภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ-เอกชน และนักวิชาการที่มีคุณภาพ-คุณธรรม-เมตตาธรรม และเร่งรัดเรื่องการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง (Antigen test kits -ATK ) โดยเร็ว

โดยใช้หน่วยงานระดับท้องถิ่น-ตำบล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อันเป็นความคิดใหม่ในการทำงานเและการประชาสัมพันธ์ ให้สามารถเข้าถึงประชาชน และเข้าถึงพื้นที่ได้โดยตรง ซึ่งจะต้องทำงานเสริมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีน เพื่อจะได้เปิดประเทศและเปิดเมืองเศรษฐกิจอย่างจังหวัดสมุทรสาครให้ได้โดยเร็ว 
    

“รวมถึงเรื่องแนวทางจัดหางบประมาณที่จะจัดซื้อวัคซีนจากเอกชน ซึ่งเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนในจังหวัดสมุทรสาครกว่า 5,000 โรงงาน พร้อมจะฉีดวัคซีนโดยด่วนและพร้อมชำระค่าวัคซีนในราคาทุนที่จัดหามา ซึ่งถ้ามีเรื่องการจัดหาวัคซีนไม่สะดวก อาจต้องหาช่องทางโดยสำรวจความต้องการวัคซีนทั้งหมดของจังหวัด เพี่อจะได้ทราบจำนวนวัคซีนที่จะใช้ แล้วทำหนังสือภายใต้ความร่วมมือ ลงนามจัดทำเอกสาร โดยกลุ่มองค์กรพ่อค้า-นักธุรกิจ ข้าราชการท้องถิ่น นักการเมืองระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นของสมุทรสาคร รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ฯลฯ เสนอขอพระราชทานกราบทูล ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ฯ เพื่อจะทำให้ได้วัคซีนซิโนฟาร์ม หรืออื่น ๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว"
    

พ.ต.ท.สุรินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนพร้อมที่จะเสนอแนะแนวทางการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ด้วยความคิดใหม่จากเมืองเศรษฐกิจสมุทรสาคร โดยถอดบทเรียนความรู้ในการป้องกันโรคฯรอบแรกของสมุทรสาครอันเป็นต้นแบบของจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถพิชิตโรคระบาดรอบนี้ได้ และจะเป็นการฝากฝีมือการบริหารจัดการของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฯ คนใหม่ ไว้ให้ประจักษ์กับชาวสมุทรสาครด้วย