นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกขึ้นไปสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 หรือในรอบเกือบ 7 ปี คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันเป็นขาขึ้นไปจนถึงกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย และ มีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือปรับตัวทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าได้
ทั้งนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนภาคการผลิต การขนส่งคมนาคมสูงขึ้น และ ค่าใช้จ่ายครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้น การปรับขึ้นของราคาพลังงานเป็นผลจากราคาพลังงานในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องซึ่งคาดว่าช่วงปลายปีราคาน้ำมันน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 75-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
"หากเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวดีต่อเนื่องและกลุ่มโอเปกพลัสยังคงไม่เพิ่มกำลังการผลิตไปมากกว่าเดิมอาจเห็นราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ณ ระดับราคาดังกล่าวน่าจะจูงใจให้ผู้ผลิตน้ำมันเพิ่มอุปทานในตลาดรวมทั้งกลุ่มโรงกลั่นผลิต Shale oil ในสหรัฐอเมริกาน่าจะกลับมาผลิตเพิ่ม หากราคาน้ำมันยังไม่แตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเชื่อว่ากลุ่มโอเปกพลัสคงมติเดิมเพิ่มกำลังการผลิตเพียงวันละ 4 แสนล้านบาร์เรลไม่เพียงพอต่อความต้องการที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนจากอุปสงค์ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น"
นอกจากนี้ ไนจีเรีย ยังประสบปัญหาเพิ่มกำลังการผลิตตามข้อตกลง ราคาก๊าซธรรมชาติที่สูง หลายชาติลดการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะประเทศจีนได้มีนโยบายในการลดการปล่อยคาร์บอนในเชิงรุก หันมาใช้น้ำมันและพลังงานทางเลือกอื่นๆ ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด จีนอาจปล่อยน้ำมันดิบคงคลังทางยุทธศาสตร์ประมาณ 33-82 ล้านบาร์เรลคงช่วยบรรเทาการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันได้บ้างเนื่องจากจีนมีสต็อกน้ำมันนราคาต้นทุนที่ถูกกว่าราคาในตลาดโลกปัจจุบันประมาณ 5-10 ดอลลาร์โดยเฉลี่ย และหลังจากกลางปีหน้าแล้ว อุปทานในตลาดน้ำมันน่าจะเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่า อิหร่านจะสามารถส่งออกน้ำมันได้ และ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกต่ออิหร่านน่าจะยุติลง
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ผลบวกของราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวมของไทยมีน้อยมากเพราะประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานและน้ำมันสุทธิ และนำเข้ามากด้วย ผลประโยชน์จะเกิดต่อธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้น และ อาจมีผลบวกต่อสินค้าที่ใช้ทดแทนกันสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบสำคัญ ธุรกิจยางธรรมชาติอาจได้ประโยชน์จากยางสังเคราะห์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่แพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันแพงยังได้รับผลจากการที่เงินบาทอ่อนค่าและเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีกด้วย ทิศทางค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ จากดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลในปีนี้ ดุลการค้าเกินดุลลดลงอย่างมาก คาดว่าปีนี้ดุลบัญชีเงินทุนมีเงินไหลออกสุทธิไม่ต่ำกว่า 3-4 พันล้านดอลลาร์ โดยมีทั้งการไหลออกของเงินลงทุนโดยตรง แต่การลงทุนในหลักทรัพย์ในตลาดการเงินเริ่มเป็นซื้อสุทธิ ปีที่แล้วเงินทุนไหลออกสุทธิประมาณ -3.59 พันล้านดอลลาร์ อัตราการค้าปรับตัวลดลงเป็นผลมาจากราคานำเข้าสินค้าเพิ่มสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาส่งออก
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญภาวะ Stagflation คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เติบโตต่ำและเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมาก สิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เผชิญอยู่เวลานี้คือ รายได้ชะลอตัว หนี้สินท่วม ค่าครองชีพสูงขึ้น แถมยังว่างงานอีกหรือทำงานต่ำระดับ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการนโยบายเข้มงวดทางการเงินเพิ่มขึ้นหรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเพราะช่องว่างการผลิต (Output Gap) ของเศรษฐกิจไทยยังติดลบค่อนข้างมาก มีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่จำนวนมาก
การใช้นโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลายมีความจำเป็นต่อการประคับประคองการฟื้นตัวของการจ้างงานและการกระเตื้องขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นปัญหาทางด้านอุปทานเป็นหลัก คือ ราคาพลังงานสูงขึ้น บาทอ่อนค่า และราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นจากน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม ราคาสินค้าอุตสาหกรรมบางส่วนปรับตัวสูงขึ้นจากการขาดแคลนวัตถุดิบ การชะงันงักระบบจัดส่งและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาบางส่วนเกิดจากการหยุดดำเนินการผลิตของโรงงาน เกิดการการชงักงันของระบบจัดส่งโลจีสติกส์ จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ภาวะ Stagflation ของเศรษฐกิจไทยอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
"ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณของ Excess Demand ใดๆ มีฟองสบู่อยู่บ้างในตลาดการเงิน และตลาดผลผลิตไม่มีเลย ตอนนี้มีแต่ Excess Supply อุปสงค์ขยายตัวต่ำกว่าระดับความสามารถการผลิตของประเทศ"
สำหรับมติของ กบง. เพื่อควบคุมราคาน้ำมันด้วยการปรับลดการใช้น้ำมันปาล์มดิบผสมไบโอดีเซลจะส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์ม กระทบอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพ มาตรการนี้จะทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซลลดลงเหลือเพียง 2-3 ล้านลิตรต่อวัน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตพลังงานชีวภาพทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ และอาจทำให้ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยขาดทุนจากต้นทุนสต็อกที่สูงและต้องขายตามราคาที่รัฐบาลกำหนดใหม่ การแก้ปัญหาราคาไบโอดีเซลด้วยวิธีดังกล่าวก็เลยสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา และ อาจทำให้กิจการไบโอดีเซลของไทยบางแห่งต้องหยุดกิจการไป
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า มาตรการช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆสามารถดำเนินการได้โดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแบบขั้นบันได ใช้น้ำมันน้อยเสียในอัตราต่ำกว่าใช้น้ำมันมาก ยิ่งใช้น้ำมันมากยิ่งเสียในอัตราสูงยกเว้นสำหรับรถโดยสารมวลชนและรถขนส่งสินค้า ปรกติรถยนต์ที่ใช้น้ำมันมากส่วนใหญ่เป็นรถยนต์กำลังแรงสูง cc สูงของผู้ร่ำรวย
ส่วนการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน อุดหนุนราคานั้น ควรนำเอาอัตราเงินเฟ้อมาพิจารณาเป็นเกณฑ์ร่วมกับระดับราคาน้ำมันที่ตั้งเป้าเข้าอุดหนุนราคา ดูที่ระดับที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและภาคการผลิตและภาคขนส่ง เช่น ระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร หรือ ระดับของอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่า 4% ขึ้นไป
สำรวจดูจะพบว่า ธุรกิจขนส่งคมนาคมกระทบหนักสุด อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหมืองแร่ ก็จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า ใช้พลังงานและน้ำมันมากหรือน้อยในกระบวนการผลิตสินค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมเหล็ก กิจการเซรามิกส์ ต้นทุนก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก ส่วนที่ได้รับอานิสงค์ ได้ผลบวก คือ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจพลังงาน พวกธุรกิจการค้าก็ไม่น่าจะกระทบมากนัก
แม้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ ไทยก็น่าจะยังมีอัตราการเติบโตได้ในระดับ 0.5-0.8% ส่วนปี 65 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ต้องรอดูปัจจัยต่างๆทั้งภายนอกภายในให้ชัดเจนก่อน และ ต้องรอดูว่าจะมีการเลือกตั้งและมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ แต่พอคาดการณ์ในเบื้องต้นได้ว่า เศรษฐกิจไม่น่าจะติดลบ ส่วนบวกแค่ไหนนั้นต้องรอดูปัจจัยต่างๆให้ชัดเจนก่อน
"ค่อนข้างแน่ใจว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าก็ยังไม่สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ (เศรษฐกิจไทยมี Potential GDP อยู่ที่ประมาณ 5-6% เติบโตได้ในระดับนี้โดยไม่มีเงินเฟ้อสูง) ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง (Actual GDP) ต่ำกว่าผลผลิตที่ระดับศักยภาพ (Potential GDP) ค่อนข้างมากมาร่วม 5-6 ปีแล้วและมากขึ้นอีกในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโควิด-19 (covid-19) จึงมีกำลังผลิตส่วนเกิน ปัจจัยการผลิตและแรงงานไม่ได้ถูกใช้เต็มประสิทธิภาพ Output Gap หรือ ช่องว่างการผลิตของไทยจึงติดลบมากกว่าหลายประเทศในอาเซียน"