หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ หรือ รถยนต์ EV
โดยเฉพาะประเภทแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) โดยมีทั้งในส่วนของมาตรการทางภาษี และไม่ใช่ภาษี มีระยะเวลาในช่วงแรกระหว่างปี 2565 - 2568
จากการตรวจสอบข้อมูลที่นำเสนอครม.ครั้งนี้ พบว่า ได้มีการกำหนดมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เอาไว้ โดยจะสนับสนุนให้ราคาของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ประเภท BEV มีราคาลดลงใกล้เคียงกับรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ประเภทเครื่องยนต์สันดาปภายใน
ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ BEV เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างแรงจูงใจ ให้มีการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ประเภท BEV ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ตามมาตรการนี้ได้มีข้อสรุป โดยแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. กรณีรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท
มาตรการภาษี
- การนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) ที่ได้รับสิทธิพิเศษทางอากรศุลกากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี แยกเป็น 2 กรณี คือ
- การนำเข้าทั่วไปตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ให้ได้รับการลดอัตราอากรจาก 80% เหลือ 40%
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี
ทั้งนี้ให้ครอบคลุมทั้งกรณีรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) และการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU)
2. กรณีรถยนต์นั่งฯ ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำ มากกว่า 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท
มาตรการภาษี
- การนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) ที่ได้รับสิทธิพิเศษ ทางอากรศุลกากรภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี แยกเป็น 2 กรณี คือ
- การนำเข้าทั่วไปตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ให้ได้รับการลดอัตราอากร จาก 80% เหลือ 60%
3.กรณีรถยนต์กระบะ ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนําไม่เกิน 2 ล้านบาท
มาตรการไม่ใช่ภาษี
4.กรณีรถจักรยานยนต์ ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท
มาตรการภาษี
มาตรการไม่ใช่ภาษี
นอกจากนี้ยังมีมาตรการส่งเสริมการผลิตในอีก 2 กรณี คือ
1.การผลิตหรือประกอบรถยนต์ไฟฟ้า (ประเภท BEV) ในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ในปี 2565 – 2568
อนุมัติให้มีการนับมูลค่าของ Cell แบตเตอรี่ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศสำหรับ การนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่ และนำไปผลิตหรือประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในเขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรี รวมเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศ สำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มในประเทศได้ไม่เกิน 15% ของราคา BEV หน้าโรงงาน เพื่อส่งเสริมการลงทุนใหม่ ให้เกิดขึ้นในประเทศ
2. สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ที่ผลิตหรือประกอบภายในประเทศ
เห็นควรส่งเสริมให้ใช้ชิ้นส่วนที่มีการนำเข้าในช่วงระยะเวลา ในปี 2565 – 2568 ประกอบด้วย แบตเตอรี่ Traction Motor คอมเพรสเซอร์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ระบบควบคุมการขับขี่ (DCU) On-Board Charger PCU inverter DC/DC Converter และ Reduction Gear
รวมทั้งส่วนประกอบของชิ้นส่วนดังกล่าว ให้ได้รับสิทธิยกเว้นอากรขาเข้าตามมาตรา 12 โดยให้สถาบันยานยนต์เป็นผู้รับรองชิ้นส่วนสำคัญและชิ้นส่วนย่อยเพื่อลดอากรขาเข้าเพิ่มเติมต่อไป
อย่างไรก็ตามมติครม.ครั้งนี้ ยังได้เห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ขอรับจัดสรรจากงบกลาง ในวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินมาตรการสนับสนุนดังกล่าว และสั่งการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาเสนอแนะแนวทางการจัดหาแหล่งงบประมาณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ในปี 2565 – 2568 วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาท ต่อไป