40 ปี ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น

01 พ.ค. 2565 | 12:52 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ค. 2565 | 19:52 น.

จาก Eastern Seaboard ESB สู่การพัฒนา EEC 40 ปี ถึงเวลาจากบุพเพสันนิวาส (ESB) สู่ พรหมลิขิต (ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น) โดย Petch Chinabutr, Ph.d.  Deputy secretary general  EEC Office of Thailand

ตั้งแต่การก่อตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ปี พ.ศ. 2561 –2564 ภาคธุรกิจของญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนในEEC  เป็นอันดับ 1 โดยได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) มูลค่า 139,970 ล้านบาท โดยปี 2564 มีมูลค่า 19,445 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ (64%) เทคโนโลยีชีวภาพ (10%) และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (8%)  

40 ปี ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น

แม้ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2564 มูลค่าการลงทุนของภาคเอกชนญี่ปุ่นในพื้นที่ EEC โดยรวมจะลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการบริการ แต่การลงทุนในภาคการลิต เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เคมีภัณฑ์ อาหาร ยาและเวชภัณฑ์ ยังสามารถขยายตัวได้

จากข้อมูลของ JETRO สานักงานกรุงเทพฯ ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทยประมาณ 5,856 บริษัท โดยประมาณ 40% มีธุรกิจอยู่ในพื้นที่ EEC  ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ EEC ในการเป็นฐานธุรกิจสำคัญของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย

 

  • ภาพความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นแลไทยในพื้นที่ EEC ในอนาคต

จากการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ Mr. Hagiuda Koichi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น (METI) เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 ได้เสนอ 2 ข้อริเริ่ม Asia-Japan Investing for the Future (AJIF) และ Asia Energy Transition Initiative (AETI) โดยการร่วมสร้างสรรค์ (co-creation) ระหว่างเอกชนไทยกับญี่ปุ่นจะนาไปสู่การลงทุนสาหรับอนาคต และเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน

ประเทศไทยถือเป็นหมุดหมายสำคัญภายใต้ข้อริเริ่มดังกล่าว มีเป้าหมาย

  1. ภูมิภาค ASEAN เป็นศูนย์กลางของ Global Supply Chain
  2. เกิดการลงทุนด้านนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ความท้าทายทางสังคม
  3. สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

 

ซึ่ง AJIF และการส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG มีความสอดคล้องกัน ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสในการชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเป้าหมายในอนาคต

 

จากกรอบข้อริเริ่ม AJIF ในระยะต่อไป 5 ปี EEC เตรียมการส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจญี่ปุ่น ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและการพัฒนาเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษในพื้นที่ เช่น EECi ที่จะสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ Smart City ที่จะสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ

40 ปี ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น

  • ประเด็นข้อเสนอในการผลักดันการลงทุน

1.การเพิ่มศักยภาพให้พื้นที่ EEC เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่

  •  อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยเสริมสร้างบทบาทให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตด้านอุปกรณ์และชิ้นส่วนในกลุ่มประเทศ CLMV รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0)
  •  อุตสาหกรรมอากาศยาน ในด้าน space components, ระบบ MRO และชิ้นส่วนดาวเทียม ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงในระดับโลก ในขณะเดียวกันภาคเอกชนในพื้นที่ EEC สามารถยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมดังกล่าวได้

 

2. การส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ(Decarbonization) ครอบคลุมเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งภาคเอกชนญี่ปุ่นมีบทบาทในการผลักดันการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเห็นควรให้มีการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจไฮโดรเจน (Hydrogen Economy) กับญี่ปุ่น โดยสามารถใช้พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่นาร่องการใช้เทคโนโลยีใหม่ในภูมิภาค และใช้พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนอุตสาหกรรมดังกล่าว

 

ตามนโยบายตามหลักการพัฒนาเศรษฐกิ BCG ซึ่งสอดคล้องกับ Green Growth Strategy และ AJIF ของประเทศญี่ปุ่น ที่สนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยอุตสาหกรรมและธุรกิจเป้าหมาย 3 สาขา ได้แก่ การจัดการและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน, การจัดการผลิตภัณฑ์ตลอดอายุการใช้งาน (End of Life Management), การดักจับและการจัดเก็บคาร์บอน (Carbon capture and storage)

 

3) การส่งเสริมความร่วมมือในโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ใน EEC ซึ่งเป็นโครงการสาคัญที่ สกพอ. ได้พัฒนาแนวคิดการดาเนินงานและจะชักชวนนักลงทุนที่มีความสนใจการลงทุนและพัฒนาในระยะต่อไป ทั้งนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญและศักยภาพของภาคเอกชนญี่ปุ่นจะมีบทบาทสาคัญในการมีส่วนร่วมการพัฒนาสาหรับโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่ฯ ใน 3 ด้านที่สาคัญ ได้แก่ ศูนย์วิจัยพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมายและนวัตกรรมอนาคต (R&D Testbed/ Hub) ความร่วมมือในการพัฒนาเมือง และความร่วมมือในการพัฒนาศูนย์กลางการเงิน

 

  •  ประเด็นสำคัญในการผลักดันการลงทุนของญี่ปุ่นจากบุพเพสันนิวาส ใน ESB สู่ภาคต่อเนื่องที่สมบูรณ์ ในพรหมลิขิต ที่ EEC
  1. รัฐบาลไทยทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการดาเนินธุรกิจให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นในไทยอาทิเช่น ข้อริเริ่ม Asia-Japan Investing for the Future (AJIF) ของญี่ปุ่นสะท้อนวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของญี่ปุ่นในด้านการลงทุน ซึ่งฝ่ายไทยสนับสนุนและเห็นว่า ภายใต้แนวคิดดังกล่าว นักลงทุนญี่ปุ่นสามารถใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่นักลงทุนญี่ปุ่นมีศักยภาพ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์ ดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ และกลุ่ม BCG
  2. ประเทศไทยอยากให้เอกชนญี่ปุ่นลงทุนในการผลิต EV รวมทั้งการผลิตแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของเอกชนญี่ปุ่นซึ่งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สาคัญในภูมิภาคมาเป็นเวลานาน และรัฐบาลไทยเพิ่งประกาศมาตรการส่งเสริมการผลิต EV ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะของเอกชนญี่ปุ่น
  3. ขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่าง ๆ เนื่องจากพื้นที่ EECที่เป็นฐานการผลิตที่สาคัญของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยเป็น Eastern Seaboard ซึ่งถือเป็น Flagship และสัญลักษณ์ความสาเร็จของหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว และยังคงเป็นฐานการผลิตสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน EEC รวมทั้งพื่นที่ EECi , EEcd ซึ่งเป็นเขตบ่มเพาะนวัตกรรมที่จะเป็นโอกาสในการลงทุนของ Startup และ SMEs ญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เอกชนญี่ปุ่นมาลงทุนในพื้นที่ EEC ได้อย่างมีคุณภาพ