พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นานเกือบ 3 ชั่วโมง ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ และพลังงาน พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมา 2 ชุด เพื่อติดตามข้อมูลเศรษฐกิจทุกประเด็น และหาทางบรรเทาค่าครองชีพให้ประชาชน
สำหรับคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา 2 ชุดนั้น ชุดแรกคือคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ทำหน้าที่เหมือนกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ และคณะกรรมการเฉพาะกิจติดตาม ประเมินผล วิเคราะห์ผลกระทบในอนาคต มีกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยคณะกรรมการนี้จะเริ่มประชุมเร็วที่สุด
“กำหนดแผนเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบของเศรษฐกิจโลก การค้า การลงทุน พลังงาน และการเงินการธนาคารด้วย โดยติดตามว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นยาวนานแค่ไหน 3 เดือนจะเกิดอะไรขึ้น 6 เดือนจะเกิดอะไรขึ้น หรือเกินไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้ เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดผลกระทบกับไทยมากที่สุด” นายกรัฐมนตรี ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในการเตรียมความพร้อมต้องดูหลายส่วนด้วยกัน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการลดค่าครองชีพไปแล้ว ซึ่งอยู่ในแผนระยะแรก คือ แผนช่วง 3 เดือนนี้ (กรกฎาคม - กันยายน 2565) จากนี้ก็ต้องดูว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นจนทำให้เกิดผลกระทบขึ้นมาอีก เช่นเดียวกับดูวงเงินต่าง ๆ ที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ หรือมีอะไรที่จะให้เพิ่มได้อีก
"เรื่องมาตรการลดค่าครองชีพคงไปดูว่า มาตรการเดิมที่ออกมา ควรจะต่อได้ไหม ต่อได้แค่ไหน แต่วันนี้อยากให้ดูง่าย ๆ อะไรที่ดูแลเดิมอยู่แล้ว จะดูแลต่อได้ถึงเมื่อไหร่ยังไง จะต้องมีลิมิตไหม หรือจะทำต่อได้ถึงเดือนธันวาคมนี้หรือเปล่า หรือจะเพิ่มอะไรได้บ้าง" นายกฯ กล่าว
ส่วนในช่วง 3 เดือนต่อไป คือ ในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2565 จะประเมินว่า ช่วงนี้จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติม หรือมีมาตรการอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นแล้ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาระทางการเงินการคลังในอนาคต
ส่วนระยะต่อไปในช่วงปี 2566 เป็นแผนระยะยาว ในกรณีที่ผลกระทบจากวิกฤตสงครามในยุโรปยืดเยื้อยาวนาน จะหาทางรองรับอย่างไร โดยคณะกรรมการชุดนี้จะไปพิจารณาทุกประเด็น
“สิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมรองรับตอนนี้ คือ เรื่องของพลังงานจะต้องไม่ขาดแคลน ไฟต้องไม่ดับ พลังงานต้องเพียงพอ ส่วนค่าการกลั่นน้ำมันนั้น วันนี้ก็มีกฎหมายอยู่ คงต้องรอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง แต่เบื้องต้นได้รับรายงานจากฝ่ายกฎหมายว่า การออกเป็นกฎหมายมาบังคับ จะทำเฉพาะเรื่องจำเป็นเด็ดขาดเท่านั้น ถึงจะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้มีความเสี่ยงสูง” นายกรัฐมนตรี ยืนยัน
อย่างไรก็ตามในเรื่องของพลังงานนั้น ล่าสุดได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหารือกันว่า จะหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติมจากไหนได้บ้าง ทั้งในพื้นที่อ่าวไทย และพื้นที่อื่น ๆ โดยจะต้องมีการหารือกันต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศต่อไป
ส่วนจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อย่าเรียกว่าพื้นที่ทับซ้อน เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเขตแดน แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจร่วมกัน เพื่อจะได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งทางพลังงานและทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากนี้คงต้องหารือกันอีกที