นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2565 ว่า หนี้ครัวเรือนไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยมีมูลค่า 14.65 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% ลดลงจาก 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้เป็นไปตามความกังวลจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้รายได้ครัวเรือนยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และผู้บริโภคมีความกังวลและชะลอการก่อหนี้ สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมีนาคมที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
สอดคล้องกับสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 89.2% โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวในอัตราเร่ง โดยสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 22.6% เร่งขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน และสินเชื่อบัตรเครดิต เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.5% สะท้อนปัญหาการขาดสภาพคล่องของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นเวลานาน
สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็น 4.6% สินเชื่อเพื่อยานยนต์ยังหดตัว 0.6% และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจขยายตัว 6%
ทางฝั่งของความสามารถในการชำระหนี้ทรงตัว ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 สินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 1.47 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.78% ความสามารถในการชำระหนี้ทรงตัว โดยในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 จากไตรมาสก่อนที่มีสัดส่วน 2.73%
เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการช่วยเหลือทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ที่ช่วยชะลอไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ยังต้องเฝ้าระวัง NPLs ของสินเชื่ออุปโภคบริโภค ส่วนบุคคลอื่น และบัตรเครดิต เนื่องจากในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 สัดส่วนสินเชื่อ NPLs ต่อสินเชื่อรวมของสินเชื่อทั้ง 2 ประเภทปรับตัวสูงขึ้น
โดยสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นเพิ่มจาก 2.33% ในไตรมาสสี่ ปี 2564 เป็น 2.49% ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 และสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัว 2.78% เพิ่มขึ้นจาก 2.49% ในไตรมาสก่อน
ขณะเดียวกัน ยังต้องเฝ้าระวังสินเชื่อเพื่อยานยนต์ เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (สินเชื่อค้างชำระน้อยกว่า 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับสูง และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 มีสัดส่วน 12.1% เพิ่มขึ้นจาก 11.1% ในไตรมาสก่อน สะท้อนความเสี่ยงของการเกิด NPLs โดยเฉพาะในครัวเรือนกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง หรือมีกันชนทางการเงินต่ำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ส่วนในระยะถัดไป มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนี้
1.ผลกระทบของภาระค่าครองชีพที่อาจกดดันให้ครัวเรือนมีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ครัวเรือนที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวและได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงมีการก่อหนี้มากขึ้น
2.อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของครัวเรือนเพิ่มขึ้นและกระทบต่อครัวเรือนที่ขอสินเชื่อใหม่ เนื่องจากจะต้องรับภาระหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยมากขึ้น
3.คุณภาพสินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลอื่น สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อยานยนต์ โดยสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นและสินเชื่อบัตรเครดิต มีสัดส่วนสินเชื่อ NPLs ต่อสินเชื่อรวมปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่สินเชื่อรถยนต์มีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (สินเชื่อค้างชำระน้อยกว่า 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้น สะท้อนความเสี่ยงของการเกิด NPLs โดยเฉพาะในครัวเรือนกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง หรือมีกันชนทางการเงินต่ำ
4. การส่งเสริมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง และมีมาตรการแก้หนี้ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับกลุ่มเปราะบาง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ส่งเสริมให้มีการก่อหนี้ใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้ครัวเรือนมีมูลค่าสูงจนกลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต