บริษัทเจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์คเซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ JMT บริษัทในเครือที่บมจ.เจมาร์ท (JMART) ถือหุ้น 56.7% JMT ตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 เริ่มจากธุรกิจติดตามหนี้ให้บริษัทแม่ JMART จนเมื่อปี 2540 เกิดวิกฤติหนี้ บริษัทจึงเข้าสู่ธุรกิจเร่งรัดหนี้ ติดตามหนี้สินให้กับสถาบันการเงิน และในปี 2549 ได้เริ่มซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเอง
ปัจจุบัน JMT เป็นผู้ประกอบธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่สุดของประเทศไทย มีพอร์ตบริหารหนี้ประมาณ 1.28 แสนล้านบาท และเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 บริษัทฯได้แต่งตั้งนายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากตำแหน่งก่อนหน้าเป็นผู้อำนวยการบริหารสายงานการตลาด โดยเขาได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทเมื่อปี 2549
นายสุทธิรักษ์ กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงภาพรวมธุรกิจ JMT 3 เดือนแรกที่ผ่านมา เราค่อนข้างพอใจ บริษัทตั้งเป้าหมายทำกำไรจากธุรกิจบริหารหนี้ปีนี้ให้เติบโตได้ 30% จากปีที่แล้ว หรือเป็น 516 ล้านบาท โดยจะมาจากการที่บริษัทตั้งงบประมาณลงทุนในปีนี้ถึง 4,500 ล้านบาท จากปีก่อนๆ ที่ใช้งบลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาทเพื่อซื้อหนี้มาบริหารทั้งประเภทหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยหนี้ที่มีหลักประกันจะเข้ามามีบทบาทมากในปีนี้ หลังจากที่เริ่มซื้อเมื่อปลายปีที่แล้ว
ทั้งนี้แหล่งเงินทุนมาจากการออกหุ้นกู้ของบริษัทเจมาร์ท วงเงิน 5,000 ล้านบาท เป็นการทยอยออก ในไตรมาสแรกใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทในการซื้อพอร์ตหนี้ 3,900 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท และหนี้ไม่มีหลักประกัน 2,700 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทมีพอร์ตหนี้ที่บริหาร 128,525 ล้านบาท เป็นพอร์ตหนี้มีหลักประกัน 2,400 ล้านบาท และไม่มีหลักประกันที่เป็นสินเชื่อบุคคลและหนี้บัตรเครดิต 72,000 ล้านบาทได้, สินเชื่อรถยนต์และจักรยานยนต์ 53,000 ล้านบาท
บริษัทประเมินว่าหากใช้งบลงทุน 4,500 ล้านบาท คาดจะซื้อพอร์ตหนี้สูงสุด 55,000 ล้านบาท แต่ยังประเมินได้ยาก เพราะหากเป็นพอร์ตหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า ราคาจะสูงทำให้ได้ปริมาณหนี้น้อยกว่าเป้าที่คาด
“สิ่งที่เห็นชัดเจนคือปริมาณหนี้คงค้างจากรายงานของธปท. ที่เป็นสินเชื่ออุปโภคจากการผิดนัดตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ล่าสุดมีประมาณ 1.1 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าหนี้ของระบบสถาบันการเงินยังมีการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาส นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจบริหารหนี้ไปยังประเทศเวียดนาม อยู่ระหว่างทำการศึกษาตลาด ส่วนที่กัมพูชา (JMT Cambodia Co.,Ltd .โดย JMT ถือหุ้น 100%) ได้เริ่มให้บริการอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ลูกค้าบางส่วนเริ่มทยอยมาใช้บริการ”
โครงสร้างรายได้ของบริษัทสัดส่วน 85% มาจากการซื้อพอร์ตหนี้มาบริหาร ส่วนอีก 14% มาจากรับจ้างบริหารหนี้ โดยพอร์ตหนี้ 128,525 ล้านบาทเป็นหนี้ 124 กอง จำนวนนี้ 40 กองมูลหนี้ 17,600 ล้านบาท สามารถรับรู้รายได้ทั้ง 100% แล้ว ยังเหลืออีก 84 กองที่อยู่ระหว่างการบริหาร โดยบริษัทมีอัตราการทำกำไรขั้นต้นหรือมาร์จินประมาณ 60% และอัตราทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 28-29% ตั้งเป้ากระแสเงินสดเก็บปีนี้ 2,000 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกปีนี้จัดเก็บได้ 514 ล้านบาท
ไตรมาส 1/2561 บริษัทมีรายได้รวม 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนนี้เป็นรายได้จากการบริหารหนี้ 341 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% และมีกำไรขั้นต้น (gross profit) ที่ 248 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ (net profit ) 116 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิ 29.0% ขณะที่หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า
หน้า17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,370 วันที่ 31 พ.ค.-2 มิ.ย. 2561