การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น ต้องถือว่าเป็น “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจ การเงินและการลงทุน
หลังจากที่ข่าวออกไปในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึง 19% เป็นประมาณ 1.4 ล้านบาทไทยและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้มูลค่าทั้งหมดหรือ Market Cap. ของบิทคอยน์เท่ากับประมาณ 8.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26 ล้านล้านบาทไทย แน่นอนว่า “อิทธิพล” ของมัสก์ ได้ช่วยขับเคลื่อนราคาของบิทคอยน์ขึ้นไปมาก คนคงจะเชื่อมั่นในตัวมัสก์ว่ามองอะไรไม่ผิด เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นเทสลาของเขาก็มีการปรับตัวขึ้นมามโหฬารในช่วงเร็ว ๆ นี้จนมีมูลค่าประมาณ 8.2 แสนล้านดอลลาร์ใกล้เคียงกับมูลค่าของบิทคอยน์ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5.6 เท่า ในขณะที่บิทคอยน์ก็ขึ้นมาประมาณ 4.6 เท่า ใกล้เคียงกัน
ถ้ามองทางด้านของ “พื้นฐาน” หรือเหตุผลที่ทั้งสองหลักทรัพย์หรือตราสารมีคล้าย ๆ กันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เทสลานั้นขายความเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้คนขับที่จะ “ปฏิวัติ” รถยนต์ดั้งเดิมของโลก ในขณะที่บิทคอยน์เองนั้นก็จะเป็น “โลกแห่งอนาคต” ของ “เงิน” ที่จะใช้กันทั่วโลกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้นราคาที่ขึ้นมาแรงและเร็วมากจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า เทสลาจะยิ่งใหญ่มากในโลกของรถยนต์ ในขณะที่บิทคอยน์ก็จะยิ่งใหญ่มากในโลกของเงินที่เรียกว่า “Cryptocurrency” ที่วันหนึ่งคนจะใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันทั่วโลกแทนระบบเงินตราปัจจุบันที่เป็นดอลลาร์ หยวน หรือบาทและอื่น ๆ ที่เป็นเงินของแต่ละประเทศที่ใช้กันมานาน
ผมเองไม่อยากที่จะพูดถึงข้อโต้เถียงที่ว่า การปรับตัวขึ้นของทั้งเทสลาและบิทคอยน์นั้นเป็นเรื่องของการเก็งกำไรและ/หรือปั่นหุ้นจากนักเก็งกำไรที่กำลังคึกคักกันทั่วโลกอานิสงค์จากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจาก QE ที่รัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงในช่วงเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากมีคนพูดกันมากแล้ว แต่อยากจะมี Comment หรือการวิจารณ์ถึงเหตุผลที่พูดกันว่าบิทคอยน์กำลังโตขึ้นเพราะวันหนึ่งมันจะเป็น “เงินเข้าระหัส” ที่คนทั่วโลกจะใช้กัน
เป็นความจริงว่าบิทคอยน์นั้นถูกออกแบบมาเพื่อที่จะเป็น “เงิน” ที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสะดวกและต้นทุนต่ำ แถมเงินนี้จะไม่เฟ้อเหมือนเงิน “กระดาษ” ที่นักวิชาการเรียกว่าเงิน Fiat เช่น เงินดอลลาร์หรือเงินของประเทศทั้งหลายในโลก เนื่องจากมันจะไม่มีการเพิ่มขึ้นตามอำเภอใจของรัฐบาลที่มักจะ “พิมพ์” เงิน Fiat เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่กำลังทำกันอยู่มากมายในช่วงนี้ ดังนั้น ในอนาคต คนจะหันมาใช้เงินบิทคอยน์แทนและจะทำมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะ Disrupt เงิน Fiat ในที่สุด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันหลังจากที่บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นและมีการซื้อขายกันในตลาดเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว กลับปรากฏว่ามีคนที่ใช้บิทคอยน์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าน้อยมาก เหตุผลนั้นก็ชัดเจนว่า ข้อแรก มีคนขายสินค้าที่รับเงินบิทคอยน์น้อยมาก เช่นเดียวกับคนที่มีบิทคอยน์ที่จะนำมาซื้อสินค้าก็มีน้อยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนที่จะทำให้มีเงินนั้น ต่างก็รับเป็นเงิน Fiat คงมีแต่คนที่เล่นหรือลงทุนในบิทคอยน์เท่านั้นที่จะมีเงินนี้
ประการที่สองก็คือ เรื่องของ “ต้นทุน” ที่ต้องใช้ในการโอนหรือแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลหนึ่งมาอีกสกุลหนึ่งที่มักจะค่อนข้างสูง ตัวอย่างเช่น การโอนจากเงินบาทไปเป็นเงินเยนหรือเงินด่อง มักจะมีค่าธรรมเนียมและอัตราส่วนต่างซื้อขายที่ค่อนข้างสูง บางทีก็ต้องโอนสองต่อคือเป็นดอลลาร์ก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเงินอีกสกุลหนึ่ง การใช้บิทคอยน์อาจจะสามารถลดตรงส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านี่ยังเป็น “อนาคต” เท่านั้น เพราะ ณ. ขณะนี้ ผมคิดว่าการใช้บิทคอยน์ทำธุรกรรมส่วนนี้น่าจะยังมีต้นทุนและความเสี่ยงสูงเกินไป เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ระบบต่าง ๆ เช่นระบบกระเป๋าเงินและการจ่ายเงินทางอิเลคโทรนิคส์ที่มีการคิดค้นขึ้นก็สามารถช่วยลดต้นทุนของการโอนและแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่าง ๆ ลงมากจนอาจจะทำให้การใช้บิทคอยน์ไม่จำเป็นแม้แต่ในอนาคต
ประการสุดท้ายที่ทำให้บิทคอยน์ไม่เป็นที่ยอมรับในการซื้อขายสินค้าหรือบริการก็คือ ความผันผวนของราคาบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นอย่างแรงในชั่วเสี้ยววินาที นี่ทำให้คนขายและซื้อต่างก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก เพราะเวลาตกลงราคาหนึ่งแต่ในช่วงจ่ายเงินซึ่งอาจจะห่างกันเพียงไม่กี่นาทีกลายเป็นอีกราคาหนึ่งที่คิดจากฐานของเงิน Fiat ที่ทั้งคู่ใช้อ้างอิงที่แตกต่างกันมาก กำไรหรือขาดทุนที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหรือความพึงพอใจของคนซื้อและขายก็อาจจะเกิดขึ้น และนั่นก็จะทำให้การซื้อขายสินค้าด้วยบิทคอยน์ไม่ประสบความสำเร็จ การที่เทสลาบอกว่าจะยอมรับเงินบิทคอยน์จากคนที่มาซื้อรถนั้น ก็คงเป็นแค่ “กิมมิก” เพื่อโปรโมตบิทคอยน์มากกว่า
คนที่บอกว่าบิทคอยน์จะได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ กับคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือแทนโทรศัพท์บ้านหรือคนที่ใช้เฟซบุคที่เพิ่มขึ้นเป็นล้านล้านคนนั้นผมคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับบิทคอยน์ เพราะในกรณีแรกนั้น โทรศัพท์มือถือดีกว่าโทรศัพท์บ้านทุกอย่าง ส่วนเฟซบุคนั้นก็ดีกว่าสื่ออื่น ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น แต่ในกรณีของบิทคอยน์นั้น มันกำลังต่อสู้อยู่กับเงิน Fiat ที่พัฒนาด้วยดิจิตอลเหมือนกัน ทำให้มันไม่สามารถเอาชนะได้ในด้านของการใช้เงินเพื่อการแลกเปลี่ยนสินค้าได้
ถ้าเช่นนั้น บิทคอยน์ในสถานะที่เป็นอยู่นี้คืออะไร? ผมเองลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะคล้าย “ทอง” มากที่สุด จะเรียกว่า “ทองเสมือน” ก็น่าจะได้ หรือถ้าพูดแบบสากลหน่อยก็อาจจะเรียกว่าเป็น “Digital Gold” หรือเป็นทองที่สร้างขึ้นจากดิจิตอล นั่นก็คือ เอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นบล็อกเชนมาเขียนหรือออกแบบให้มีคุณสมบัติคล้าย ๆ ทองคำ นั่นก็คือ มันมีจำนวนที่กำหนดตายตัวและไม่สามารถสร้างหรือ “ขุด” เพิ่มขึ้นมาง่าย ๆ การขุดต้องใช้เงินหรือทรัพยากรมาก
นอกเหนือจากนั้นก็คือ มันต้องมีความน่าเชื่อถือว่ามัน “มีค่า” สามารถทำให้คนยอมรับ ซึ่งอย่างในกรณีของทองคำนั้น ปริมาณที่ค้นพบและขุดขึ้นมาแล้วในโลกมีรวมกันคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 244,000 ตัน หรือคิดเป็นปริมาตรเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิกประมาณ 3 สระเท่านั้น แต่ถ้าคิดเป็นมูลค่าในราคาปัจจุบันที่ 58.2 ล้านเหรียญต่อตันก็เท่ากับประมาณ 14.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในส่วนของความน่าเชื่อถือนั้น ทองคำได้รับความน่าเชื่อถือว่ามีคุณค่าหรือมูลค่ามากทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันก็คือโลหะชนิดหนึ่งซึ่งเอาไปทำอะไรไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว หรือถึงทำได้มันก็มีจำนวนน้อยเกินไปที่จะทำอะไรในโลกนี้ ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับบิทคอยน์ที่ไม่มีอะไรจับต้องได้ มีแต่ตัวเลข
แต่บิทคอยน์เป็นตัวเลขที่ถูก “ล็อค” เอาไว้ที่ 21 ล้านบิทคอยน์ ในขณะที่จำนวนบิทคอยน์ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18.5 ล้านบิทคอยน์ ดังนั้น จึงเหลือบิทคอยน์อีกเพียง 2.5 ล้านบิทคอยน์ที่จะค่อย ๆ ถูก “ขุด” ขึ้นมา ซึ่งก็ต้องใช้ต้นทุนและพลังงานจำนวนมากเหมือนการขุดทองคำ ถ้าคิดราคาของบิทคอยน์ในปัจจุบันที่ราคาประมาณบิทคอยน์ละ 47,000 ดอลลาร์ก็จะเป็นมูลค่าตลาดของบิทคอยน์ทั้งหมดที่ประมาณ 870,000 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับประมาณ 6% ของมูลค่าทองคำทั้งโลก ในส่วนของความน่าเชื่อถือว่าเป็น “สินทรัพย์”ที่มีค่านั้น ผมคิดว่ามันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ อานิสงค์ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้นำโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางธุรกิจอย่างอีลอน มัสก์เข้ามาสนับสนุนโดยการ “ถือบิทคอยน์” เป็น “เงินสำรอง” แทนที่จะถือเงินดอลลาร์ที่ความน่าเชื่อถืออาจจะกำลังลดลงเนื่องจากมีการพิมพ์แบ้งค์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเขากำลังเข้ามา “เก็งกำไร” และมองบิทคอยน์คล้าย ๆ กับทองที่ราคาวิ่งขึ้นลงได้ตามความต้องการหรือ Demand ที่เพิ่มขึ้นในขณะที่จำนวนบิทคอยน์ที่มีหรือ Supply มีจำกัด
ประเด็นว่าราคาบิทคอยน์ตอนนี้สูงเกินไปหรือยังในระยะยาวนั้น คงต้องดูว่าความต้องการที่จะ สำรองบิทคอยน์โดยคนที่มีเงินมหาศาล เช่น บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งอาจจะรวมถึงรัฐบาลในอนาคตจะต้องการนำบิทคอยน์มา “สำรอง” คล้าย ๆ ทองคำหรือไม่? ซึ่งก็น่าจะอยู่ที่ความ “น่าเชื่อถือ” ของบิทคอยน์ในอนาคต ทองคำนั้น อยู่กับโลกและได้รับความน่าเชื่อถือมากว่า 6,000 ปีแล้ว แต่บิทคอยน์เพิ่งจะเกิดไม่กี่ปี มันจะ Disrupt หรือทำลายทองคำหรือไม่?
ถ้าใช่ มูลค่าก็คงมหาศาลกว่านี้ ถ้าไม่ใช่ ซึ่งอาจจะมาจากประเด็นสารพัด เช่น ปัญหาการถูกแฮ็กและที่อาจจะสำคัญยิงกว่าก็คือ รัฐบาลทั้งหลายอาจจะ “ไม่ยอมรับ” ราคาของบิทคอยน์ก็น่าจะสูงเกินไปและอาจจะ “ถล่ม” ลงมาได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “เงินคริปโต” ตัวอื่นที่ทำได้แบบบิทคอยน์ก็มีมากมายแม้ว่าจะยังไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ในวันหนึ่งรัฐบาลหลาย ๆ แห่งในโลกก็อาจจะออกคอยน์ของตนเองขึ้นมาแข่งกับบิทคอยน์ก็ได้ และถ้าเป็นอย่างนั้น บิทคอยน์ก็อาจจะลดความสำคัญลงไปมากแม้แต่จะเทียบกับทองคำที่เป็น “ของจริง” เสมอ