หุ้นโรงไฟฟ้าสดใส เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง

26 พ.ย. 2564 | 12:18 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ย. 2564 | 19:18 น.

หุ้นโรงไฟฟ้ายังปลอดภัย เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง พร้อมรับประโยชน์จากกกพ.เตรียมปรับขึ้นค่า FT ต้นปี 2565 คาดภาพรวมค่าไฟฟ้าปรับขึ้นตาม ด้าน GULF เผย 10 ปีข้างหน้า ใช้งบลงทุนขยายธุรกิจประมาณ 74,000 ล้านบาท

ช่วงที่สถานการณ์หลายๆอย่างยังคงผันผวน ทั้งโควิด-19 นโยบายการเงินของธนาคารกลางโลกและเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้การลงทุนยังไม่กลับมาเป็นปกติ แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทย ไตรมาส 3 ปี 2564 เริ่มกลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้นและผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งหุ้นในกลุ่มที่มีรายได้ที่คงที่ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยและถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นหุ้นปลอดภัย คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่แม้จะเป็นธุรกิจที่ไม่หวือหวา แต่มีความปลอดภัยสูง

 

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงที่สุดคือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) อยู่ที่ 489,859.01 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 6 ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้งตลาด รองลงมา คือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) อยู่ที่ 217,824.09 ล้านบาทและบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) อยู่ที่ 110,793.25 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 บริษัท อยู่ในดัชนี SET50

ขณะที่มีบจ.ที่ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าคือ GULF ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 14,350 MW ภายในปี 2570, GPSC ตั้งเป้าเป็น 8,000 MW ภายในปี 2573, BGRIM ตั้งเป้าเป็น 10,000 MW ภายในปี 2573, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) ตั้งเป้าเป็น 7,016 MW ภายในปี 2564, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) ตั้งเป้าเป็น 10,000 MW ภายในปี 2568 และบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) ตั้งเป้าเป็น 5,300 MW ภายในปี 2568

 

นอกจากนี้หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์จากปัจจุบันอยู่ที่ 15.32 สตางค์ และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆไป

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะการปรับขึ้นค่า FT ทำให้ภาพรวมราคาค่าไฟฟ้าปรับขึ้นประมาณ 5% ต่อหน่วย แม้ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งหลังปีนี้มากกว่า 10%

ผลการดำเนินงานหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า

ขณะที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัดมองเป็นลบ จากกำลังซื้อผู้บริโภคที่จะลดลงจากการมีภาระค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งโรงงานและอุตสาหกรรมต่างๆจะมีต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ โรงไฟฟ้า SPP จะได้ประโยชน์ เพราะต้นทุนขึ้น รัฐจึงต้องปรับขึ้นค่า FT ให้ ตามสูตรราคา

 

บล.ไทยพาณิชย์ จำกัดมองเป็น sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อ GPSC และ BGRIM เนื่องจาก GPSC มีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม 35% และ BGRIM ที่ 24% การขึ้นค่า FT จะช่วยชดเชยต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำไรของธุรกิจในไตรมาส 3 ปี 2564 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 ปี 2564 แต่เร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบต่อกำไรในปี 2565 เพราะทั้ง 2 บริษัทยังซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า บริษัทฯคาดวว่า จะใช้เงินลงทุนในการดำเนินธุรกิจและขยายการลงทุนโครงการต่างๆ ในช่วง 10 ปีข้างหน้าราว 74,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 62% หรือ 46,000 ล้านบาทลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน, 23% หรือ 17,000 ล้านบาท ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และ 15% หรือ11,000 ล้านบาท ลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF

ทั้งนี้เงินลงทุนจะนำมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท, เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ของบริษัทเป็นหลัก ส่วนเงินลงทุนปี 2565 คาดว่า จะใช้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนงาน ไม่นับรวมงบการทำดีลซื้อกิจการ (M&A) และต้นปีหน้ายังมีแผนออกหุ้นกู้อีกประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ที่นำมาซื้อหุ้นของ INTUCH และใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัท

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,735 วันที่ 28 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564