หลักทรัพย์บัวหลวง มองดัชนีครึ่งหลังแตะ 1,700 จุด

20 มิ.ย. 2565 | 12:02 น.
อัปเดตล่าสุด :20 มิ.ย. 2565 | 19:02 น.

หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 2565 แกว่งตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด หนุนด้วยปัจจัยเศรษฐกิจฟื้นตัวจากการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และกำไรบจ. ไตรมาส 2/65 คาดเติบโตราว 9% แนะจัดพอร์ตลงทุนรับมือความผันผวน เงินเฟ้อพุ่งต่อเนื่อง

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายดัชนี SET Index ในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ที่ระดับ 1,700 จุด ยังคงเป็นไปได้  โดยกรอบล่างอาจมี Downside อยู่ที่ 1,550-1,570 จุด แม้อัตราเงินเฟ้อสูงและราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวและหนุนดัชนีให้ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่เป้าหมาย หลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวและผ่อนปรนมาตรการให้ร้านอาหารกลับมาเปิดได้

หลักทรัพย์บัวหลวง มองดัชนีครึ่งหลังแตะ 1,700 จุด

“หัวใจสำคัญอยู่ที่มาตรการต้องไม่เปลี่ยนไปมา เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งดัชนีอาจไม่ถึงเป้าหมายหากสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครนขยายวงไปยังภูมิภาคอื่นๆ”นายชัยพรกล่าว

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงครึ่งหลังคือ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง จากตัวเลขประกาศอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พุ่งทำนิวไฮในรอบ 40 ปี แต่เราคาดว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะผ่านจุดสูงสุดและอัตราเร่งจะเริ่มลดลงในกลางปี 2565 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 จากสาเหตุการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนตัวลงเป็นเดือนที่ 3 การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยลดลงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง และจำนวนกองเรือสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มทยอยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าระวางน่าจะอ่อนตัวลงต่อได้  

 

ส่วนการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังดำเนินต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยยังไม่ถึงจุดพีคอาจได้เห็นในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2565 ซึ่งจะช้ากว่าสหรัฐฯ และยุโรป โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดการณ์ว่า ในปี 2566 เงินเฟ้อจะต่ำกว่าปีนี้ ชี้ให้เห็นว่า กนง.ประเมินเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดในปี 2565 และหลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงในปีหน้าเช่นกัน

ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ระดับราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตามแผนที่วางไว้ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้อีก 0.75% และจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกราว 1% ในการประชุมที่เหลือของปีนี้ และน่าจะจบรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งแรกปี 2566

 

ในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มองว่า ปี 2565 เป็นปีแรกที่จะเห็นการฟื้นตัวของกำไร เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ ส่งผลให้กำไรบจ.ไตรมาส 1 ปี 2565 เติบโตได้ดี และแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2565 คาดการณ์กำไรบจ.จะเติบโต 9% จากไตรมาสแรก

 

หากไม่รวมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานกำไรบจ.จะเติบโต 1% จากไตรมาส 1 ปี 2565 เนื่องจากราคาต้นทุนสินค้า     และการขนส่ง อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกำไรบจ.ในไตรมาส 2 ปี 2565 กับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอาจเติบโต 35% แต่หากไม่รวมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานกำไรบจ.จะเติบโต 10%

 

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ในปี 2565 ส่งผลให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 0.5% เป็น 1-1.25%  โดยครั้งแรกอาจเห็นในเดือนกรกฎาคมนี้ และปี 2566 อาจเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก   1-2 ครั้ง หรืออาจไม่ขึ้นก็ได้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และทิศทางเงินเฟ้อประเทศไทยที่กนง.คาดการณ์ไว้

 

ส่วนการท่องเที่ยวของไทยปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาวันละ 3 หมื่นคน ตกเดือนละเกือบ 1 ล้านคน เรามองว่า อาจเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ที่จะได้เห็นนักท่องเที่ยว 8 ล้านคน ในปี 2565 และปี 2566 ที่ระดับ 12-15 ล้านคน โดยทิศทางตัวเลขรายเดือนเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตา เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนและมีอิทธิพลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

"ตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ แม้ในแง่ของค่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะมีพรีเมี่ยมสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคอยู่บ้าง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนามที่โดดเด่นในปีนี้ แต่เวียดนามเป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) ที่เพิ่งเริ่มต้นและเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเข้าได้จำกัด แม้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ให้ผลตอบแทนแรง 30-40% เหมือนหุ้นเวียดนาม แต่คาดหวังผลตอบแทน 6-10% ต่อปีนั้นยังเป็นไปได้ และภาพรวมตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะผันผวนมากเหมือนต่างประเทศ อาจเป็นเพราะข้อดีของตลาดหุ้นไทยที่มีหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์มากซึ่งมีผลต่อดัชนี"นายชัยพร กล่าว

 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรายังคงแนะนำให้จัดพอร์ตแบบเน้นกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วน 60%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสัดส่วน 20% เนื่องจากมองว่าอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวและมีการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ นอกจากนี้ควรมีการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ และน้ำมันสัดส่วน 10% ที่เหลือแนะนำให้ถือเป็นเงินสดและตราสารหนี้ระยะสั้นสัดส่วน 10%

 

สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำเป็นกลุ่มที่ดีอยู่แล้วและคาดว่าจะดีต่อเนื่อง คือ กลุ่มโภคภัณฑ์, น้ำมัน, ถ่านหิน และกองเรือ คาดการณ์กำไรยังเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังแนะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อาจมีกำไรเติบโตโดดเด่นกว่าโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็ก เพราะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากภาวะอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขึ้น

 

สำหรับกลุ่มอาหารส่งออกไก่ หมู น่าจะดีต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้จากภาวะขาดแคลนอาหาร และค่าเงินบาทอ่อนเทียบค่าเงินสหรัฐ (USD) ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้า, คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์, อิเล็กทรอนิกส์ และอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่แนะนำในช่วงนี้จนกว่าจะเห็นภาพราคาก๊าซ และอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เริ่มลดลง