นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 65 ที่เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
โดยเป็นการก่อหนี้ใหม่เพิ่มอีก 14,177 ล้านบาท เป็น 1.429 ล้านล้านบาท นั้น เมื่อคำนวนจากตัวเลข GDP ที่คาดว่าปีนี้จะยังขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.5% จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 ลดลงเหลือ 61.3% ต่อ GDP จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 62.76% ซึ่งยังอยู่ในกรอบหนี้สาธารณะที่กำหนดไม่เกิน 70%
“ตามการประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะ จากการปรับแผนบริหารหนี้ครั้งที่ 3 จะทำให้หนี้สาธารณะ เมื่อสิ้นเดือนกันยายน 65 คาดอยู่ที่ 61.3% จากแผนบริหารหนี้ฯ ฉบับที่ 2 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 62.76% ก็ลดลง เพราะส่วนหนึ่งตัวเลขจีดีพีมีการเติบโตขึ้น ซึ่งจากการปรับแผนก่อหนี้ ก็จะทำให้มีหนี้ที่จะก่อในปีงบ 65 อยู่ที่ 1.429 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,177 ล้านบาท จากแผนฯ ที่ปรับปรุงครั้งที่ 2 ที่ 1.415 ล้านล้าน” นายอาคม กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3 ประกอบด้วย การปรับแผนการก่อหนี้ใหม่ เพิ่มขึ้น 14,177 ล้านบาท โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้าน เป็นการนำไปเพิ่มสภาพคล่องให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รองรับการดูแลค่าเอฟที และให้การไฟฟ้านครหลวง ขยายบริการในกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลือเป็นอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีการปรับแผนการบริหารหนี้เดิมเพิ่มขึ้น 1,500 ล้านบาท เป็น 1.502 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่เพิ่มจากการเคหะแห่งชาติ ไปรีไฟแนนซ์หนี้เดิมเพื่อขยายเวลาชำระหนี้ และอีกส่วนมีการปรับแผนการชำระหนี้ เพิ่มขึ้น 20,835 ล้านบาท เป็น 384,104 ล้านบาท สำหรับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากกองทุนฯ มีการนำรายได้ส่งคืนคลังมากขึ้น