"พิชัย" เดินหน้าเรียกความเชื่อมั่นกลับเข้าตลาดทุน

07 ต.ค. 2567 | 06:20 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2567 | 06:38 น.

"พิชัย ชุณหวชิร" รองนายกฯ และรมว.คลัง เผย พอใจ ราคาหุ้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ขึ้น 2% ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์-ก.ล.ต. เดินหน้าทำงานเต็มที่ ชี้ดัชนีหุ้นไทยปี 68 จะไปไกลได้แค่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่รัฐ-เอกชน ร่วมกันแก้ไขปัญหาและผลักดันประเทศไปสู่ที่ชาวโลกยอมรับมากขึ้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเด็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง หลังเปิดซื้อขายวันแรกที่ 2% ถือว่าค่อนข้างเป็นระดับที่น่าพอใจ โดยในระดับที่ 2% เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงแค่วันเดียว ซึ่งมุมมองนั้น เป้าหมายของผลตอบแทน คือ 3-9% ค่อนข้างจะดี

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ประเด็นการสร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ส่วนตัวมองว่าในวันนี้เราแบ่งงานกันทำ ผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีหน้าที่ปรับปรุงการทำธุรกิจให้มีการเติบโตขึ้นมา ส่วนอีกข้างหนึ่ง คือ หน้าที่ของผู้ลงทุน จะมีความเชื่อมั่นอย่างไร เพราะวันนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) ก็ทำงานกันเต็มที่

โดยกติกาต่างๆ วันนี้ก็ปรับปรุงกันขึ้นมามากแล้วจากเดิม และความเชื่อมั่นก็มีทิศทางที่ดีขึ้นมา ซึ่งจากนี้ไปก็ยังคงมีการมอนิเตอร์สถานการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ มองว่าต่อจากนี้ไปคิดว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศกลับเข้ามา

ทั้งนี้ มองว่าในประเทศยังคงมีเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนเหลืออยู่ จากเดิมที่ยังฝากเงินในประเภทอื่นๆ ส่วนตัวคิดว่าทุกคนคงวิเคราะห์กันแล้วว่าจะปรับพอร์ตการลงทุนของตัวเองอย่างไร คนคงไม่เก็บเงินไว้อยู่เฉยๆ ดังนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่บุคคลว่าจะปรับเป็นฟิกซ์ อินคัมเท่าไหร่  และตลาดที่มีการเติบโตเท่าไหร่ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเม็ดเงินจากนี้จะเข้ามาในตลาดทุนมากขึ้น

"การดึงสภาพคล่องให้ออกมาลงทุนจะมีแรงจูงใจอะไรไหม ส่วนตัวคิดว่าเรื่องแรงจูงใจเป็นแนวคิดของแต่ละคนที่มีเงิน แน่นอนถ้าดอกเบี้ยมากเขาก็จะไปลงทุนประเภท Fixed Income แต่ถ้าดอกเบี้ยน้อยเขาจะมาลงทุนส่วนที่เป็น Growth เช่น หุ้น เป็นต้น ซึ่งทุกคนก็คงนั่งดูอยู่ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร โดยภาวะทั่วไปทิศทางดอกเบี้ยขาลงไม่เฉพาะแต่แค่ในเมืองไทย เพราะนักลงทุนจะปรับพอร์ตของเขาโดยจะปรับลดการลงทุน Fixed Income ลงมาและกันไปลงทุนในส่วนที่เป็น Growth มากขึ้น"

ส่วนการเพิ่มเครื่องมือในการส่งเสริมการลงทุนหรือไม่นั้น ส่วนตัวเข้าใจว่าช่วงก่อนเราเคยมีปัญหา และวันนี้เราตรวจสอบและแก้ไขไปปัญหาก็เบาบางไปแล้ว ทั้งนี้ ก็ยังต้องติดตามต่อเนื่องว่าจะปรับอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ เพื่อที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่แน่นอนเรื่องหนึ่ง ก.ล.ต. ยังต้องเดินหน้าต่อเนื่อง คือ การเข้มงวดกับผู้ที่มีการลงทุนไม่เหมาะสม

"วันนี้นอกจากกองทุนนี้ ผมคิดว่านักลงทุนในประเทศคงจะรู้สึกปรับเปลี่ยนไปบ้างเมื่อเทียบกับช่วง 6-7 เดือนที่แล้ว ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ดู 2 อย่าง ได้แก่ 1.บรรยากาศของนักลงทุนในประเทศ และ2.แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจของโลก ซึ่งผมคิดว่าในภูมิภาคนี้ทั้งเอเซีย แปซิฟิกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นเป้าหมายที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองอยู่"

สำหรับมุมมองต่อดัชนีหุ้นไทยปี 68 จะไปไกลได้แค่ไหนนั้น มองว่าก็คงต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่ภาครัฐและภาคเอกชนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาและผลักดันประเทศไปสู่ที่ชาวโลกยอมรับมากขึ้น ซึ่งบ้านเรากำลังปรับเปลี่ยน 2 เรื่อง ได้แก่

  1. ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรเดิมที่มีอยู่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. การเชิญชวนนักลงทุนใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามา

ซึ่งหากเราทำได้สำเร็จความเชื่อมั่นก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนเรื่องดัชนีหุ้นไทยจะไปถึงระดับ 1,500 จุดได้หรือไม่นั้น คงไม่สามารถบอกได้ แต่วันนี้ก็อยู่ในจุดที่ใกล้แล้วราว 1,400 กว่าจุด