นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2567 จะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 เพราะนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบหลายทศวรรษได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจชัดเจน และทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกมีโอกาสถูกปรับลด (Downgrade) ตามสภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อได้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ทำให้ธนาคารทิสโก้คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และจะเริ่มเห็นธนาคารกลางต่างๆ ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 นำไปสู่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) เปลี่ยนทิศเป็นขาลง จากสถานการณ์ข้างต้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำการลงทุน 3 ธีม ดังนี้
1. สินทรัพย์ผู้ชนะ ได้แก่ ตราสารหนี้ (Bond) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและได้ประโยชน์เมื่อ Bond Yield กลับทิศเป็นขาลง โดยผู้ลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากทั้งอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) ที่อยู่ในระดับสูง และได้รับส่วนต่างจากราคาหน้าตั๋วที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วย
ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชนอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป มีอายุเฉลี่ยระยะยะกลางถึงยาว และอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ โดยคาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) มากกว่า 5% และเพิ่มโอกาสรับส่วนต่างราคาหน้าตั๋ว กว่า 10%
อีกสินทรัพย์หนึ่งก็คือ REITs ที่ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 ราคาปรับตัวลดลงราว 20-30% จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก จนปัจจุบันมูลค่า (Valuation) ของ REITs อย่าง สหรัฐฯ สิงคโปร์ และไทยกลับมามีความน่าสนใจ โดยซื้อ-ขายอยู่ในระดับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value) ที่ -2 S.D. ที่ 1.86, 0.87, และ 0.80 เท่า ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะ REITs ที่เป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูง (CBD) ที่มีความต้องการใช้งานสูง ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปตามเมกะเทรนด์โลก เช่น data center, industrial, warehouse, wellness
2. อุตสาหกรรมผู้ชนะ ได้แก่ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) เพราะผลประกอบการมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ราคายังปรับขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก สวนทางกับภาพรวมการเติบโตของผลประกอบการปี 2567 ของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่สูงที่สุดถึง 18.8% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น
สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เน้นให้เลือกลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ A.I. เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมเชิงบวกต่อองค์กรมากที่สุดในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาแล้วในปีนี้ แต่เรามองว่ายังเป็นหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) เพราะผลประกอบการในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 17% และในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2567 ถึง 8.5% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น
3. ประเทศผู้ชนะ ได้แก่ หุ้นกลุ่มประเทศกลุ่มเอเชียเหนือ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และไต้หวัน และหุ้นประเทศเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่มีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตและมี อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของตลาดสูงกว่า 20%
โดยตลาดหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ เป็นกลุ่มประเทศต้นน้ำที่สำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และ Semiconductor โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เห็นได้จากรัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) และกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทในเกาหลีมีการเติบโตแบบ Scaleup ราว 376 บริษัท โดยที่ราว 25% ของบริษัทเหล่านี้เน้นพัฒนาเทคโนโลยี A.I. อีกทั้ง Bloomberg ยังคาดว่าในปี 2567 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในเกาหลีใต้จะกลับมาขยายตัวที่ 54% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) ขณะที่ปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่ยังคงลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในเกาหลีใต้เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง ทำให้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้จะได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund flows)
ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม มีปัจจัยบวกคือจากอัตราการเติบโตของ EPS ในปี 2567 ที่โดดเด่นถึง 29.6% YoY สูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของตลาดหุ้นเวียดนามยังซื้อขายอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 9.39 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงวิกฤต COVID-19 และช่วงที่มีการปราบปรามคอร์รัปชันกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2565 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่กลับมาเป็นขาลง ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็นผู้เล่นหลักของตลาดโยกย้ายเม็ดเงินจากเงินฝากธนาคารมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับ Fund Flows จากนักลงทุนต่างชาติจากประเด็นการเลื่อนสถานะตลาดเป็น Emerging Market ที่จะช่วยหนุน Valuation ตลาดให้ขึ้นไปซื้อขายในระดับค่า P/E ที่สูงขึ้นในอนาคต