‘ซุปเปอร์ริชส้ม’หวังนักท่องเที่ยวต่างชาติตามเป้า ดันแลกเงินโต 20%

11 มี.ค. 2567 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :11 มี.ค. 2567 | 08:41 น.

“ซุปเปอร์ริชสีส้ม” เผย ต้นปีธุรกิจแลกเงินยังไม่คึกคัก แม้รัฐบาลเปิด “ฟรีวีซ่า” รอประเมินผล 3 เดือนเชื่อหากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตามเป้าหมาย 35 ล้านคน ดันธุรกิจแลกเงินโต 20% เท่าก่อนโควิด

เป้าหมายการท่องเที่ยวไทยปีนี้ ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัด 3 ล้านล้านบาท ล่าสุดมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 6.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 49% โดยมีปัจจัยบวกจากการออก “วีซ่าฟรี” ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน รวมการขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซียด้วย 

นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ริช เคอเรนซี่ เอ็กซ์เชนจ์ (1965) หรือ “ซุปเปอร์ริชสีส้ม”เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความต้องการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศต้นปีนี้พบว่า ดอลลาร์ไต้หวันตีตื้นขึ้นมาจากนโยบายฟรีวีซ่า คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนสกุลเงินที่ยังนิยมแลกซื้อยังอยู่ในสกุลเงินหลักเช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เงินเยน

นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ริช เคอเรนซี่ เอ็กซ์เชนจ์ (1965)

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมในปีก่อนอยู่ที่ 83,000 ล้านบาท สกุลเงินยอดนิยมได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์ หยวน ปอนด์และสวิสฟรังส์ 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมช่วงไฮซีซันที่ผ่านมาพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวยังเข้ามาน้อย แม้รัฐบาลเริ่มโครงการ ฟรีวีซ่า คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 เดือนกว่าจะเห็นผลการตอบรับโปรแกรมดังกล่าว ดังนั้นปริมาณธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังไม่กลับมาคึกคักเท่าที่ควร แต่แนวโน้มระยะข้างหน้า หากสถานการณ์การเมืองในประเทศนิ่ง บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาเป็นบวกมีโอกาสจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในปีนี้ 34-35 ล้านคนตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้

ในส่วนของซุปเปอร์ริชพบว่า 2 เดือนที่ผ่านมา การทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศเทียบกับปีก่อนเติบโตขึ้นกว่า 10% ต่อเดือนปริมาณธุรกิจอยู่ที่ 8,000 ล้านบาทจากปีก่อนไม่ถึง 7,000 ล้านบาท หากปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ตามเป้าหมายคาดว่าปริมาณธุรกรรมจะเพิ่มได้ถึง 9,000-10,000 ล้านบาทต่อเดือนหรือเติบโตราว 20% เท่ากับเป็นระดับที่ใกล้เคียงก่อนโควิด 

สำหรับฐานลูกค้าคนไทย หลังการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้อย่าง ทราเวล การ์ด จากสถิติที่ซุปเปอร์ริชจัดเก็บหลังโควิด-19 สัดส่วนลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 35% และต่างชาติ 65% จากก่อนหน้าโควิด-19 ลูกค้าคนไทยมีสัดส่วนประมาณ 70% และต่างชาติ 30% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ยังพออยู่ได้และสามารถทำกำไรได้

ส่วนนโยบายสาขาปีนี้ นายปิยะกล่าวว่า ทั้งปีนี้น่าจะมีสาขาไม่เกิน 40 สาขา จากปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ 34-35สาขา โดยสิ่งที่ดีคือ ซุปเปอร์ริชสีส้มได้สิทธิในการบริหารจัดการร้านแลกเงิน ร้านเดียวบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว ภายหลังจากเซ็นสัญญากับบริษัทลูกของบีทีเอส และให้บริการภายใต้ชื่อ “Superrich Turtle” โดยอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าที่สัญจรไปมาใจกลางเมืองด้วย

ในส่วนของสาขาต่างจังหวัดนั้น มีแนวคิดที่จะทำเป็น “ซุปเปอร์ริช แอนด์เฟรนด์” โดยผู้สนใจสามารถสมัครเป็นพันธมิตรเพื่อเปิดร้านแลกเงิน (เป็นบูธขนาดเล็ก) ในท้องถิ่นหรือพื้นที่ต่างจังหวัด เป็นแนวคิดในการขยายธุรกิจใหม่หรือ New S Curve เพื่อลดต้นทุน โดยอนุญาตให้พันธมิตรในท้องถิ่นใช้ชื่อซุปเปอร์ริชสีส้มในการทำธุรกิจร้านแลกเงินภายใต้แบรนด์ “ซุปเปอร์ริช แอนด์เฟรนด์”

ขณะที่ซุปเปอร์ริชสีส้มจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำหรือเป็นพี่เลี้ยงตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจเช่น วิธีและขั้นตอนขอรับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมลงระบบซอฟต์แวร์หรือระบบแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ รวมทั้งอบรมการทำ KYC หรือตรวจสอบรายชื่อลูกค้า โดยซุปเปอร์ริชสีส้มเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าและแบ่งผลกำไรในสิ้นปี เบื้องต้นจะเปิดให้บริการ 2 แห่งคือ สมุยกับภูเก็ต

นายปิยะกล่าวถึง Key Success ของธุรกิจแลกเงินว่า ซุปเปอร์ริชสีส้มยึดมั่นเป็นหลักการตั้งแต่เริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจคือ ความสะดวก จนกระทั่งธุรกิจเติบโตได้ดีและมีคนทำตาม แต่ปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันร้านแลกเงินสูงขึ้น ซึ่งยอมรับว่า ผู้ประกอบธุรกิจร้านแลกเงินที่เป็นนอนแบงก์อาจจะเสียเปรียบธนาคารพาณิชย์บ้างอย่างเรื่องดิจิทัล ที่ธนาคารพาณิชย์ได้เปรียบเรื่องนวัตกรรมและเรื่องกฎระเบียนที่เปิดกว้างกว่าหลายเรื่อง

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,973 วันที่ 10 - 13 มีนาคม พ.ศ. 2567