ผู้ว่าธปท.ชี้ ความอิสระธนาคารกลาง ทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา

20 ก.ย. 2567 | 06:32 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2567 | 06:34 น.

ผู้ว่าธปท.ชี้ การตัดสินใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้น เป็นต้นตอปัญหาหนี้ทั้งระบบ ที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง ทำให้ประเทศเสียโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างเสถียรภาพระยะยาว ชี้ธนาคารกลางมีหน้าที่มองระยะยาว ความเป็นอิสระจะทำใ้เกิดเสถียรภาพด้านราคา

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวเปิดการสัมมนา BOT Symposium 2024: “หนี้” The Economics of Balancing Today and Tomorrow ว่า หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจากระดับ 50%ของจีดีพีเป็น 90%ของจีดีพีและยังมาพร้อมกับครัวเรือนที่เปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบัน 38%ของคนไทย มีหนี้ในระบบเฉลี่ยคนละ 540,000 บาทและยังเป็นหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย

ครัวเรือนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ที่ต้องก่อหนี้ในช่วงที่ขาดรายได้จากวิกฤตโควิด กำลังเริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้เนื่องจากรายได้อาจยังไม่ฟื้นตัวดี ขณะที่มีเพียง 22% ของคนไทยที่มีเงินออมในระดับที่เพียงพอ และเพียง 16% ที่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ

ในระดับประเทศเอง ประสบปัญหาการลงทุนที่ต่ำต่อเนื่องมายาวนาน การลงทุนโดยรวมของไทยจากที่เคยโตเฉลี่ย 10% ต่อปีก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 เหลือเพียง 2% ต่อปี และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมไทย มีบริษัทเพียงไม่ถึง 3% เท่านั้นที่ลงทุนใน R&D ทำให้การลงทุนในด้านนี้ของไทยต่ำเพียงประมาณ 1% ของจีดีพี เทียบกับเกาหลีใต้ที่สูงถึง 5% ของจีดีพี

ในระดับโลกเอง ก็กำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้กระทบต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก

ข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO: World Meteorological Organization) ชี้ว่า ผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าตัว ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

“ปัญหาต่างๆ แม้จะแตกต่างกัน แต่กลับมีจุดร่วมที่สำคัญ คือ เป็นปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นเป็นหลัก และไม่ได้ให้ความสำคัญกับต้นทุนที่เกิดขึ้นในอนาคตมากเท่าที่ควร”

ผู้ว่าธปท.ชี้ ความอิสระธนาคารกลาง ทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา

สำหรับต้นตอของ “ปัญหาหนี้” อาจแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือจากตัวปัจเจกและจากสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของปัจเจก ด้านปัจเจก ส่วนหนึ่งการเลือกให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากเกินไป การประเมินอนาคตที่ดีเกินควร และความไม่รู้ไม่เข้าใจ รวมถึงการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เพียงพอ

ขณะที่ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม ต้องยอมรับว่า “ปัญหาหนี้” ก็เกิดจากการที่กฎ กติกา สภาพแวดล้อม ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ที่ไม่เอื้อให้ปัจเจกคำนึงถึงผลประโยชฯในอนาคตอย่างเพียงพอ ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ จึงจำเป็นต้องแก้ทั้ง 2 ส่วนทั้งปัจเจกและสิ่งแวดล้อม

ในส่วนของสถาบันที่ไม่เอื้อให้ปัจเจกคำนึงถึงอนาคตอย่างเพียงพอ เราจะต้องเร่งปรับแก้กฎ กติกา รวมไปถึงการบังคับใช้กฎกติกาเหล่านั้นในอย่างน้อย 3 ด้านคือ

  • ด้านเศรษฐกิจ ต้องแก้ความล้มเหลวของตลาดในรูปแบบต่างๆ ที่นำไปสู่การสร้างหนี้
  • ด้านสังคม ต้องสร้าง social safety net ที่ตอบโจทย์ ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ “คน” ที่เป็นทรัพยากรหลักของประเทศ
  • ด้านการเมือง ต้องผลักดันให้เกิดระบบถ่วงดุลที่ดี ที่จะทำให้นโยบายสาธารณะในด้านต่าง ๆ เป็นไปโดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างระยะสั้นและระยะยาว

สำหรับประเทศไทยเอง ก็มีตัวอย่างของนโยบายในอดีตที่ให้น้ำหนักกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากเกินไป ซึ่งมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า นโยบายเหล่านั้นอาจส่งผลต่อประเทศในระยะยาว

เช่น งานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ แสดงให้เห็นว่า นโยบายพักหนี้เกษตรกรในอดีตที่ทำในวงกว้าง ทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และไม่มีเงื่อนไขการรักษาวินัยทางการเงินที่ดี ส่งผลให้ลูกหนี้กว่า 60% มีโอกาสเป็นหนี้เรื้อรัง และกว่า 45% มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ว่าธปท.ชี้ ความอิสระธนาคารกลาง ทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา

ในทางกลับกัน นโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ที่อาจต้องแลกมาด้วยต้นทุนในวันนี้ ก็เป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้น เช่น การเพิ่มรายได้ภาษีในรูปแบบต่างๆ ที่จะทำให้ฐานะทางการคลังของประเทศยั่งยืนขึ้น หรือการเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษา ที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้พร้อมสำหรับวันข้างหน้า

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ กำลังทำให้ประเทศเสียโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างเสถียรภาพในระยะยาว ก่อให้เกิด "ปัญหาหนี้" ที่แม้จะไม่ใช่เรา แต่คนที่อยู่ในประเทศของเราต้องแบกรับในอนาคต

เช่นเดียวกับนโยบายสาธารณะอื่น ๆ นโยบายการเงินมีต้นทุนและผลประโยชน์ที่ผู้ดำเนินนโยบายต้องพยายามรักษาสมดุลทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ธนาคารกลางทั่วโลก มีพันธกิจที่คล้ายคลึงกันคือ ไม่เพียงต้องการเห็นเศรษฐกิจขยายตัว แต่ต้องเสริมสร้างให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงินเป็นพื้นฐานสำคัญ ธนาคารกลางจึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องให้น้ำหนักกับเสถียรภาพในระยะยาว

แม้การกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้รวดเร็วในระยะสั้น แต่มักต้องแลกมาด้วยภาวะเงินเฟ้อ และอาจเป็นการสะสมความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจจากการก่อหนี้เกินตัวหรือพฤติกรรมเก็งกำไรของนักลงทุน ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาวหรือนำไปสู่วิกฤตร้ายแรงได้

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า หน้าที่ในการ “มองยาว” ของธนาคารกลางจึงต้องมาพร้อมกับอิสระในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุพันธกิจดังกล่าว ซึ่ง หลายๆ ครั้งในการทำหน้าที่ของธนาคารกลางต้องดำเนินนโยบายในลักษณะที่สวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อทุกภาคส่วนเป็นวงกว้างและย่อมมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ดังนั้น หากธนาคารกลางไม่อิสระเพียงพอก็อาจทำให้เสียหลักการของการ “มองยาว” ได้

"งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา ตัวอย่างงานวิจัยของ IMF ในปี 2023  พบว่า ประเทศที่ธนาคารกลางมีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ สามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่าและประสบความสำเร็จในการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ"

ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย ดำเนินการในหลายๆ ด้านเพื่อช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายการเงินที่คำนึงถึงเสถียรภาพเป็นสำคัญ โดยใช้ policy mix ที่เหมาะสม รวมถึงการให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกันต้องไม่เอื้อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงเชิงระบบ การออกมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เพื่อยกระดับมาตรฐานของสถาบันการเงินให้มีความรับผิดชอบต่อลูกหนี้ตลอดวงจรของการเป็นหนี้ และส่งเสริมให้ประชาชนไทยมีวินัยทางการเงิน อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และการพัฒนาระบบการเงินที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อสนับสนุนครัวเรือนและธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจในโลกยุคใหม่ 

งานสัมนาครั้งนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวเท่าที่ควรในทุก ๆ ระดับ ได้สร้าง กำลังสร้าง และจะสร้าง ต้นทุนให้กับประเทศมากมาย และเพื่อชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจที่ไม่คำนึงถึงอนาคตเหล่านี้ หลายครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมของตัวปัจเจกเอง แต่ในหลายครั้งก็เกิดจาก "สถาบัน" ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ "เอื้อ" และสนับสนุนให้คนคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะสั้นๆ

“ทุกขณะที่เราปล่อยผ่าน “ปัญหาหนี้” เหล่านี้ก็จะสะสม ฝังรากลึกขึ้น ทำให้ต้นทุนในการแก้ไขปัญหาสูงขึ้น การเริ่มตั้งแต่การตระหนักรู้ถึงปัญหา เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไข ซึ่งไม่มีใครหรือหน่วยงานใดสามารถแก้ "ปัญหาหนี้" ได้เพียงลำพัง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”

ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือประชาสังคม รวมทั้งทุกท่านที่กำลังฟังอยู่ โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่เราทำได้ คือการสำรวจและพยายามปรับพฤติกรรมที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของตัวเอง ศึกษานโยบายต่าง ๆ และเรียกร้องผ่านกลไกประชาธิปไตยให้ผู้กำหนดนโยบายออกนโยบายที่คิดถึงผลระยะยาวต่อประเทศ