นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงไทย จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของธนาคารช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการให้สินเชื่อธนาคาร ซึ่งมีการปล่อยสินเชื่อผ่านดิจิทัลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยเป็น Small Ticket ซึ่งไม่ใช้คน
ดังนั้น ทำให้ยอดสินเชื่อปลายปีก่อนอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท และคาดปีนี้ การปล่อยสินเชื่อผ่าน Digital Lending เติบโต 14,000 ล้านบาท
การปล่อยสินเชื่อดังกล่าวอยู่บนอัตราดอกเบี้ยราว 20% ขณะที่อุตสาหกรรมอยู่ที่ราว 25-33% โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ “เอ็นพีแอล” ไม่เกิน 4% ขณะที่คู่เทียบทะลุไป 10% แม้เราจะมาช้ากว่าคนอื่น แต่ก็มีความมั่นคง”
นายผยงกล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อบนดิจิทัลเลนดิ้งที่แบงก์ปล่อยสินเชื่อ ที่คาดหนี้เสียไม่เกิน 4% นั่นหมายความว่าทุกๆ 1 บาท ที่ปล่อยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าของเดิมที่ปล่อยถึง 3 เท่า ถ้าหากคุม NPL ไม่ให้เกิน 4%
อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อผ่าน Digital Lending เป็นเพียงการปล่อยสินเชื่อผ่านกรุงไทยเท่านั้น แต่อนาคตกรุงไทยมีแผนขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับพันธมิตรเพื่อทำธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) และพันธมิตร ซึ่งมีทั้งระบบนิเวศและข้อมูล
อย่างผู้ใช้บริการปั๊มน้ำมัน และ SME ในชุมชนจะช่วยให้เข้าไปในกลุ่ม Underserve ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยภายใต้ Virtual Bank มีพันธมิตรที่หลากหลาย โดย
"หลังจากนั้น เป็นเรื่อง Beyond แบงกิ้ง AIS ซึ่งแข็งแกร่งมาก ในระดับ Region คือ Contact Center ใช้เทคโนโลยี Agentic AI เข้ามาตอบปัญหาลูกค้า ที่จะมาตอบโจทย์เรื่อง Virtual Banking ด้าน Bottom Line ขนาดมีเพียง Data ของธนาคาร ยังรุกคืบได้ขนาดนี้ ถ้ามี Partner อีก 2 รายที่ทรงพลังจะยิ่งตอบโจทย์ เป็น Inclusive Financing พร้อมๆ กับมี Fair Share ของสภาพคล่องในระบบ”
ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินธุรกิจ Virtual Bank ครั้งนี้ ธนาคารมองจะถึงจุดคุ้มทุนประมาณ 5 ปีบวกลบ โดยคาดการดำเนินธุรกิจจะต้องพร้อมก่อนที่แบงก์ชาติจะเปิดให้ Virtual Bank ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ
“หลายประเทศ 5 ปีก็ยังไม่รอด เพราะมี NPL สูง เช่น สิงคโปร์ NPL ของ Virtual Bank ระดับ 10% อินโดนีเซีย 8-11%"
คำถามคือ แล้วของไทยจะอยู่ตรงไหน ขณะที่หลายคนมองว่า Virtual Banking ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน ผู้เล่นไม่พอ ต้องเรียนว่าผมเห็นต่างอย่างมาก เพราะหนึ่งเวลาพูดถึง Financial Inclusion หมายถึง เงินกู้เป็นหลัก เงินฝากนอนแบงก์มากคำถามคือ ทำไมต่างชาติถึงออกจากธุรกิจรายย่อยต่อเนื่อง
นายผยงยังกล่าวอีกว่า โจทย์การให้บริการ Virtual Bank เกิดจากบริบทข้อจำกัด และความบกพร่องแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ขณะที่ไทยแม้จะมีพร้อมเพย์เพื่อใช้ตอบโจทย์ด้านการชำระเงินต่างๆ แต่อุปสรรคคือ การปล่อยกู้เพราะไทยไม่มี Data ที่เพียงพอ ส่วน Data ที่มีอยู่ก็ใช้กันเต็มที่แล้ว
สำหรับ กรุงไทยเป้าหมายคือ อยากเข้าถึงคนในชุมชนใหม่ๆ โดยเลือกเข้าไปในชุมชน AIS , OR โดยทำตัวเป็นแบงก์ในชุมชนเหล่านั้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งเมื่อไปขอเปิดแบงก์ในชุมชนนั้นเขาก็ต้องลงทุนด้วย
ดังนั้น เชื่อว่าทั้ง 3 Partnership ภายใต้ Virtual Bank มีความแข็งแรงที่สุด ในบรรดาพันธมิตรทุกราย ทั้งการทำ Virtual Bank ต้องมีทั้งเทคโนโลยี และ Data ดังนั้น จุดชี้ขาดคือ Data และความสามารถในการวิเคราะห์ Data โดยมองการที่มีคู่แข่งขันเข้ามาในระบบมากขึ้น มีโอกาสที่จะทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยการปล่อยสินเชื่อผ่าน Digital Lending ลดลงได้
“การให้บริการผ่าน Virtual Bank คงต้องมองตรงไหนเป็น Red Ocean และ Blue Ocean คงไปใน Area ของนอนแบงก์ เพราะถ้าไปในส่วนของลูกค้าแบงก์ใหญ่มาร์จินก็ไม่มี ต้นทุนการให้บริการก็สู้ไม่ได้ และไม่ได้มี Incentive อะไรให้ต้องเปลี่ยนระบบ"
สำหรับกลุ่ม Underserve ที่จะเข้าไปต้องสะดวกตอบโจทย์ อีกด้านหนึ่งอยากได้ลูกค้า และต้องเป็นลูกค้าดี เป็นช้างเผือก ทั้งจากข้อมูลพันธมิตร จะทำให้เห็นถึงข้อมูลเชิงพฤติกรรม ที่ข้อมูลปกติของธนาคารไม่เห็น ซึ่งข้อมูลนี้ เป็นตัวบ่งชี้ เป็นประโยชน์ในการเข้าถึงลูกค้า การติดตาม และแยกแยะลูกหนี้ได้เหมาะสมมากขึ้น