นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2567 ว่า บริษัทตั้งเป้าเป็นอันดับหนึ่งในการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ โดยตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยประกันรับใหม่ 20% ใน 3 หลุ่มหลักคือกลุ่มประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ประกันเกษียณอายุ และประกันโรคร้าย
“ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับคะแนน NPS (Net Promoter Score) สูงถึง 58 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีที่ก่อน หน้าถึง 17 คะแนน ซึ่งบ่งชี้ความผูกพันธ์และความพึงพอใจของลูกค้าผ่านคำถามง่ายๆ ว่า ลูกค้ามีแนวโน้มจะแนะนำแบรนด์ให้กับเพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยเพียงใด ซึ่งสะท้อนถึงการดำเนินงาน เพื่อลูกค้าอย่างครบวงจรของ MTL"นายสาระกล่าว
ดังนั้นปีนี้ บริษัทจึงเดินหน้าสานต่อการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณ วางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) และยึดกลยุทธ์ “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง.... ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง" ที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยจะดำเนินงานผ่าน 2 แนวคิดหลัก ได้แก่
“เราสามารถส่งมอบความสุขและรอยยิ้มได้ตามแนวทางที่วางไว้ ด้วยการนำ เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยเติมเต็ม ทั้ง AI, Machine Learning, Automation และ Digital Tools อื่นๆ ในทุกๆ กระบวนการ ทั้งการขาย การพิจารณารับประกัน การพิจารณาสินไหม ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อตอบโจทย์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางการขายและเจ้าหน้าที่บริการ ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น”นายสาระกล่าว
นายสาระกล่าวต่อว่า ทิศทางธุรกิจประกันชีวิตปีที่ผ่านมา เริ่มตีกลับเป็นปีแรก หลังจากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา บริษัทประกันเน้นขายประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก แต่โครงสร้างรูปแบบประกันที่เปลี่ยนไป เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ในปี 2566 เป็นปีแรกที่อุตสาหกรรมประกันตีกลับมาเป็นขาขึ้น
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ปี 2566 มีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท เติบโต 2% จากปีก่อนที่มีเบี้ยประกันรับรวมที่ 60,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่ล้อไปกับค่าเฉลี่ยการเติบโตของอุตสาหกรรมประกัน ซึ่งการที่ยอดเบี้ยประกันภัยไม่ได้เติบโตมาก ไม่ได้หมายถึงจำนวนคนซื้อลดลง แต่เนื่องจากแบบประกันสุขภาพจะเล็กลงจากประกันสะสมทรัพย์ 10 เท่า แม้จำนวนคนซื้อเท่าเดิม แต่เบี้ยประกันจะเล็กลง
สำหรับปี 2566 มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ เบี้ยประกันภัยโรคร้ายแรงเติบโต 70% และ เบี้ยประกันภัยบำนาญเติบโต 13% ขณะที่ด้านธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2566 สูงกว่า 300% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140%
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ MLT ไม่ได้เน้นการเติบโตด้านรายได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย โดยมองว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน คือการประสานความยั่งยืนให้เป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินธุรกิจในทุกๆ วัน
ทั้งนี้ธุรกิจหลักของบริษัทฯ เป็นเรื่องของประกันชีวิต จึงทำให้ความยั่งยืนแรกในมิติสังคมเกี่ยวข้องกับประกันชีวิตโดยตรง จึงมุ่งสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance) ไม่ว่าจะเป็นการขยาย อายุรับประกันภัยสำหรับแบบประกันภัยหลัก ๆ ถึง 90 ปี พร้อมให้ความคุ้มครองต่อเนื่องสูงสุดถึงอายุ 99 ปี
ด้านมิติสิ่งแวดล้อม เมืองไทยประกันชีวิตได้ลงทุนและเปิดโอกาสให้ลูกค้า Unit-Linked สามารถลงทุนในสินทรัพย์สีเขียว ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) ตราสาร ESG (ESG Bond) และตราสารส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมสีเขียวให้แก่พนักงานในองค์กร อาทิ การแยกขยะ การลดใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง การลดใช้กระดาษผ่านกระบวนการดิจิทัลต่างๆ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์
ท้ายที่สุด บริษัทฯ ยังยึดมั่นและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐานสากล และรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณสูงสุดอย่างเคร่งครัดเป็นสำคัญ