จากกรณีที่หุ้นกลุ่มตระกูล J ปิดตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันนี้ 9 ตุลาคม 2566 หุ้นกลุ่ม J ปรับตัวลงแรงทั้ง 5 หลักทรัพย์ (เมื่อเวลา 12.30น.)
โดย นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ระบุว่า เช้านี้ หุ้นกลุ่ม J ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งไม่น่าจะเกิดจากปัญหาที่จะมีการผิดนัดชำระหุ้นกู้ หรือมีการตกแต่งบัญชีแต่อย่างใด เพราะในช่วงไตรมาส 2/66 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเข้มงวดในการตรวจสอบบัญชีค่อนข้างมากจึงไม่น่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน กลุ่มเจมาร์ท
ล่าสุด นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานออกมาในทิศทางที่ดี ด้วยปัจจัยบวกที่บริษัทย่อย และบริษัทร่วมต่างสร้างผลการดำเนินการได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทได้จ่ายคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน ครบถ้วนตามจำนวน 1 พันล้านบาท สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
โดยมีปัจจัยบวกสำคัญคือ ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของ ของบมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส(JMT) ที่จะทำได้ตามเป้าหมาย รวมทั้ง การเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ Jas Green Village บางบัวทอง ของบริษัทย่อย เจเอเอส แอสเซ็ท (J) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 66 ที่ผ่านมา การเข้าสู่ High Season ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจัดจำหน่ายมือถือที่จะมีมือถือรุ่นใหม่ออกมาจำหน่าย และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในบริษัทที่ได้เข้าลงทุน คือ สุกี้ ตี๋น้อย ที่ได้เปิดสาขาล่าสุด สาขาที่ 49 ที่ Jas Village อมตะนคร ชลบุรี ซึ่งเป็นการศึกษาการทำ Synergy ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า บริษัทได้จ่ายชำระคืนหุ้นกู้ มูลค่า 1 พันล้านบาท ที่ได้ครบกำหนดไปเมื่อเดือน กันยายน 2566 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยบริษัทจะไม่มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอีกแล้วในรอบอีกเกือบ 1 ปีข้างหน้า
ในด้าน นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT มองภาพในเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมตามหนี้ ซึ่งจะสร้างการเติบโตระยะยาวให้กับบริษัท เนื่องจาก เป็นโอกาสให้บริษัทสามารถลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพได้จำนวนมากในปี 2566 และส่วนใหญ่ในปีนี้ บริษัทได้เข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกัน (Unsecure Loan) เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นฐานของพอร์ตหนี้ของบริษัท ที่จะสร้างการเติบโตระยะยาว
พร้อมกันนี้ ยังเปิดเผยข่าวดี ในไตรมาส 3/2566 จนถึงปัจจุบัน ในช่วงต้นไตรมาส 4/2566 JMT สามารถจบดีล ซื้อหนี้เพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน จากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ดันพอร์ตหนี้บริหารในบริษัทอยู่ที่เกือบ 5 แสนล้านบาท (รวม JK AMC) โดยมองว่าปีนี้ จะตั้งเป้าหมายให้มีการเติบโตจากปีที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ผลการดำเนินงานมีสถิติสูงสุดใหม่ (New High) เมื่อเทียบกับปีก่อน.