นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า มูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่มเทรด)ในตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาส 1/2567 มูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับราว 4.4 หมื่นล้านบาท มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในการลงทุนของทั้งนักลงทุนไทยและสายตาชาวต่างชาติที่ลดลง
แม้ว่าปัญหาที่เคยกังวลอย่างเรื่อง Naked Short Selling ปัจจุบันทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะมีการปรับมาตรการกำกับและดูแลที่เข้มข้นมากขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่มากนัก ตัวเลข GDP ที่คาดการณในปี 2567 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนของตลาดหุ้นไทยยิ่งน้อยลงไปใหญ่
ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นก็ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งอันที่จริงจากภาวะการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งมีการปรับตัวและปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางอื่นให้มากขึ้น และมองหาธุรกิจที่จะมาเป็น New S-curve สร้างรายได้ใหม่ทดแทน
ทั้งนี้ TNITY ก็มีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่เช่นเดียวกัน ปัจจุบันรายได้จากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 40-50% ของรายได้รวม โดยในปี 2567 บริษัทจะรุกธุรกิจวาณิชธนกิจ ในการเป็นที่ปรึกษาการเงิน ทั้งในแง่ของการเป็นที่ปรึกษาการเงินนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ซึ่งขณะนี้มีดีลในมือประมาณ 8-10 ดีล จะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568
รวมถึงการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 6-8 ดีล รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ (Bond) 10-12 ดีล ในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20-30% ของรายได้รวม
ตลอดจนเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างทางเลือกห้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล จะเติบโตแตะ 3,200 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ทิศทางผลดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อไป
ส่วนประเด็นที่ Program Trading (PT) มีสัดส่วนการซื้อขายในปริมาณที่ค่อนข้างมากในปัจจุบัน มองว่าเป็นผลจากผลิตภัณฑ์เชิงซ้อนของบางบริษัทหลักทรัพย์ (complex structure) ที่มีบางผลิตภัณฑ์การลงทุนลิ้งค์กับ PT ทั้งนี้ มองว่าปริมาณการเทรดของ PT ยังคงมีตามปกติ เพียงแต่ที่หายไปคืบสภาพคล่องและการลงทุนของรายย่อยในประเทศ จึงดันให้สัดส่วน PT ในบางวันมีมูลค่าและสัดส่วนการซื้อขายที่สูงกว่า
ขณะที่กระแสเงินทุนต่างชาติ (Fundflow) ที่ไหลออกอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/2567 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรอความชัดเจนของนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะที่ผ่านมาจากการลดนโยบายทางการเงิน (QE) แบงก์ชาติหลักของโลก
ทำให้สภาพคล่องการลงทุนของต่างวชาติในไทยลดลงไปด้วย นักลงทุนหันไปเทรดในฟอร์เรนเคอร์เรนซี่ ตราสารหนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น Firering Strategic Minerals Plc (FRG) ทำให้มีเงินไหลออกไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท
รวมถึงในเรื่องของการเติบโตของปริมาณเงินในระบบ (M2) ของประเทศไทยเองก็ต่ำสุดในรอบ 14-15 ปี โดยหากว่านโยบายทางการเงินและการคลังของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น มีมาตรการให้ใหม่ๆ ที่สามารถเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ M2 กลับมาอยู่ในทิศทางที่ดี ก็มีแนวโน้มที่จะดึงดูดให้ Fundflow กลับเข้ามาลงทุนตลาดหฟุ้นไทยอีกครั้ง โดยจากนี้คงต้องจับตาม 3 นโยบายสำคัญ ได้แก่
ซึ่งหากว่าทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นภาครัฐสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง ก็คาดว่าอาจดันให้ดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นไปสูงเหนือระดับ 1500 จุดได้ภายในสิ้นปีนี้