ฝรั่งหอบเงินหนีหุ้นไทย แค่ 3 เดือนพุ่ง 6.93 หมื่นล้านบาท

05 เม.ย. 2567 | 10:06 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2567 | 10:07 น.

เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากหุ้นไทย ไตรมาสแรก นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 6.93 หมื่นล้านบาท เหตุตลาดหุ้นไทยไม่จูงใจพอ เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ รอความชัดเจนทั้งเงินดิจิทัล ดอกเบี้ยนโยบาย และงบประมาณปี67

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างต่ำในช่วงปี 2566 และยังมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 จากการปรับลดประมาณการณ์การขยายตัวของจีดีพีไทยของทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนนำมา นำโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.8% จากนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ปรับลดจาก 3.4% ลงมาเหลือเพียง 2.7-2.8%

ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปี 67 พบว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยแล้ว 6.93 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 7.83 หมื่นล้านบาท 

 

อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 เม.ย.67 พบว่า เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติไหลเข้าไปลงทุนสูงสุด 6 อันดับแรกได้แก่ ญี่ปุ่น 13,320 ล้านเหรียญฯ เกาหลีใต้ 12,984 ล้านเหรียญฯ ไต้หวัน 4,567 ล้านเหรียญฯ อินโดนีเซีย 1,368 ล้านเหรียญฯ อินเดีย 1,305 ล้านเหรียญฯ และฟิลิปปินส์ 173 ล้านเหรียญฯ

ขณะที่ประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง มูลค่า 1,909 ล้านเหรียญฯ, 670 ล้านเหรียญฯ และ 179 ล้านเหรียญ ตามลำดับ  โดยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคมและมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 870 ล้านเหรียญฯ และ 1,145 ล้านเหรียญฯ ส่วนในเดือนกุมภาพันธ์ มีแรงซื้อกลับมาเล็กๆ ที่ 82 ล้านเหรียญฯ

"ฐานเศรษฐกิจ" ตรวจสอบข้อมูลปริมาณการซื้อขายสุทธิตามประเภทนักลงทุน 5 ปีย้อนหลัง (2562-2566) พบว่า ข้อมูลมูลค่าการซื้อขายสุทธิตลอดช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 80.05 ล้านบาท โดยค่าเฉลี่ยมูลค่าของนักลงทุนแต่ละประเภท ประกอบด้วย

  • นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 6.46 หมื่นล้านบาท
  • บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 3.37 หมื่นล้านบาท
  • นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 3.48 แสนล้านบาท
  • นักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 3.78 แสนล้านบาท

 

ฝรั่งหอบเงินหนีหุ้นไทย แค่ 3 เดือนพุ่ง 6.93 หมื่นล้านบาท

 

หากลงรายละเอียดมูลค่าการซื้อขายตามประเภทการลงทุนแบบรายปี พบว่า ปี 2563 นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิ 2.64 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นปีที่มีค่าเฉลี่ยการขายสุทธิที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ขณะที่นักลงทุนภายในประเทศซื้อสุทธิ 2.16 แสนล้านบาท ส่วนปี 2565  เป็นเพียงปีเดียวในช่วงเวลา 5 ปีที่นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิที่ 2.02 แสนล้านบาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน)หรือ TNITY เปิดเผยว่า แรงกระตุ้นหรือความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าจูงใจมากนักสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน ตัวเลข GDP ที่ภาครัฐเปิดเผยออกมาค่อนข้างต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับ GDP ตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยจึงน้อยกว่า

หากลงไปดูตัวเลขสถิติการซื้อขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยของต่างชาติ(Fundflow) ช่วงปี 2565 ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเห็นได้ว่าเป็นปีที่ต่างชาติมีการซื้อสุทธิสูงกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักๆ เป็นผลมาจากการที่แบงก์ชาติทั่วโลกมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมกัน Fundflow เลยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย นับว่าเป็นปีเดียวในรอบ 5 ปี (2562-2566) ที่ตัวเลขพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิ

ขณะที่ปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางตลาดหลัก โลกมีการปรับลดมาตรการทางการเงิน (QE) ส่งผลให้สภาพคล่องเองก็ลดลงไปด้วย ดังนั้นต่างชาติจึงลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ตลาดหุ้นไทยลง ประกอบกับจากการที่ Rating ใน MSCI ของหุ้นไทยลดลง ตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ และ Rating ใน MSCI ของหุ้นไทย ก็ค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริง

อย่างไรก็ดี มองว่า หากภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการหมุนเวียนที่ดีขึ้น มีสภาพคล่องมากขึ้น(M2) นโยบายทั้งการคลังและการเงินมีความชัดเจน ซึ่งก็จากมี 3 ปัจจัยหลักๆ เช่น

  1. Digital wallet
  2. การปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องสภาพคล่องส่วนเกินต้องยอมรับว่าปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนมีการจ่ายดอกเบี้ยในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อเทียบกับอดีต มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงิน
  3. เรื่องงบประมาณปี 2567 หากสามารถเร่งเบิกจ่ายได้เร็วและภาครัฐมีการเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ ต่อเนื่อง ก็จะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น

ทั้งนี้ มองว่าหากมีความชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ข้อข้างต้น ก็คาดว่าจะช่วยดันดัชนี SET Index ไปแตะที่ระดับ 1400 จุดได้ และหากมีครบทั้ง 3 ข้อ ก็อาจผลักดันให้ดัชนีสามารถกลับไปยืนที่เหนือระดับ1500 จุดได้ แต่หากว่ายังไม่เห็นอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันดัชนีจะทรงตัวระดับ 1300 จุด ต้นๆ โดยคาดว่าคงไม่ลงลึกไปกว่านี้ และเป็นจุดต่ำสุดแล้ว