จากประเด็นร้อนแรงของการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ระหว่าง บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH และจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ (NewCo) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
วัตถุประสงค์ควบรวมกิจการครั้งนี้ เพื่อปรับโครงสร้างของบริษัทที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการในการบริหารจัดการและการลงทุนในอนาคต รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและต่อยอดโอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงาน & โครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ ฐานเศรษฐกิจได้ตรวจสอบข้อมูลโครงสร้างรายได้ GULF ในไตรมาส 1/67 พบว่า GULF มีรายได้รวมอยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% จากไตรมาสก่อนที่ 28,281 ล้านบาท และเติบโต 19.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 26,994 ล้านบาท
ที่มาของรายได้รวม
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 4,023 ล้านบาท ลดลง 39.6% จากไตรมาก่อนที่ 6,658 ล้านบาท และหดตัว -22.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 5,192 ล้านบาท
แต่เมื่อคิดเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์แล้วจะอยู่ที่ 3,499 ล้านบาท ลดลง 25.5% จากไตรมาสก่อน และหดตัวลง 9.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
เนื่องจากในไตรมาสแรกปีนี้ GULF มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์ รวม 653 ล้านาท
โดยมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBIDA) ในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 9,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนที่ 9,243 ล้านบาท และเติบโต 15.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน 8,143 ล้านบาท สำหรับกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 4,152 ล้านบาท ลดลง -1.6% จากไตรมาสก่อนที่ 4,217 ล้านบาท แต่เติบโต 13.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 3,668 ล้านบาท
ขณะที่ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากบริษัทร่วมและการร่วมค้า อยู่ที่ 2,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.5 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากได้รับส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH รวมทั้งต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงช่วยสนับสนุนกำไรของโรงไฟฟ้า 7SPPs ภายใต้กลุ่ม GJP และ PTT NGD ให้ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้า BKR2 ผลิตไฟได้มากขึ้นจากความเร็วลมที่ดีขึ้น และโรงไฟฟ้า DIPWP มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำจืดที่มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ กำไร Core Profit ในไตรมาสแรกปีนี้ปรับตัวลดลง 17.3% จากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก INTUCH ที่มีส่วนแบ่งกำไรลดลง เพราะในไตรมาส 4/66 มีบันทึกกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว และกำไรของ GGC อ่อนตัวลงจากความเร็วลมในพื้นที่ปรับตัวลดลง
ด้านฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่ 31 มี.ค. 67 GULF มีสินทรัพย์รวม 472,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% จากสิ้นปี 2566 ที่ 459,514 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 324,563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% จากสิ้นปี 66 ที่ 315,410 ล้านบาท
ส่วนอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต้องดำรงตามข้อกำหนดสิทธิ อยู่ที่ 1.70 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าเงื่อนไขและข้อตกลงที่กำหนดสำหรับหุ้นกู้บริษัทที่ 3.50 เท่า
สำหรับผลการดำเนินงาน 3 ปี ย้อนหลัง (2564-2566) มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 49,983.74 ล้านบาท 95,076.17 ล้านบาท และ 116,950.73 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,670.30 ล้านบาท 11,417.56 ล้านบาท และ 14,857.73 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 20,098.55 ล้านบาท 28,167.17 ล้านบาท และ 34,670.03 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ งบกระแสเงินสดในช่วง 3 ปี ย้อนหลัง (2564-2566) ของ GULF ประกอบด้วย
ในแง่ของฐานะทางการเงิน 3 ปีย้อนหลัง (2564-2566) GULF
อนึ่ง ราคาหุ้น GULF ปิดตลาดวันที่ 18 ก.ค.2567 อยู่ที่ระดับ 44.75 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.56% จากราคาปิดตลาดก่อนหน้าที่ 45.00 บาท ทังนี้ ในช่วงระหว่างวันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 44.75 บาท ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 44.00 บาท โดยมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 2,214.35 ล้านบาท