สรุปมูลค่าการซื้อขายแบ่งตามกลุ่มผู้ลงทุน ในช่วงระหว่างวันที่ 1-20 กันยายน 2567 พบว่า มีมูลค่ารการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 937,390.74 ล้านบาท ประกอบด้วย
โดยหากย้อนกลับไปดูสถิติการซื้อขายตามกลุ่มผู้ลงทุน จะพบว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงเดือนกันยายน มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นกว่า 7,859,903.79 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนภายในประเทศ มีสถานะซื้อสุทธิอยู่ที่ 3,695.37 ล้านบาท และ 90,338.43 ล้านบาท
ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงมีสถานะการขายสุทธิอยูที่ะดับ 120.99 ล้นบาท และ 93,912.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากลงลึกในรายละเอียดการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2567 มูลค่าการขายสุทธิทำสถิติสูงที่สุดในปีนี้ มูลค่า 41,314.24 ล้านบาท รองลงมา คือ เดือนมิถุนายน ที่มีมูลค่าขายสุทธิ 34,871.88 ล้านบาท และ เดือนมกราคม มีมูลค่าการขายสุทธิที่ 30,874.11 ล้านบาท
สำหรับในช่วงเดือนที่นักลงทุนต่างประเทศมีการซื้อกลับและมีสถานะซื้อสุทธิสูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ เดือนกันยายน 2567 แม้จะไปได้เพียง 20 วัน ยังไม่ครบเดือนดี หรือมีระยะเวลาเปิดทำการเพียง 15 วันทำการ แต่กลับมีสถานะการซื้อกลับรวมกว่า 30,835.10 ล้านบาท รองลงมา คือ เดือนเมษายน มีมูลค่าการซื้อรวม 3,913.66 ล้านบาท และเดือนกุมภาพันธ์ ที่ 2,862.14 ล้านบาท
จากการไล่ย้อนดูสถิติการซื้อขายของฟันด์โฟลว์ในช่วงเดือนกันยายน 2567 พบว่า เฉพาะวันที่ 6 กันยายน วันเดียวกวาดมูลค่าการซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศไปได้กว่า 10,756.62 ล้านบาท โดยตั้งแต่วันที่ 5-16 กันยายน ฟันด์โฟลวมีการไหลกลับเข้าซื้อลงทุนติดต่อกันถึง 8 วันทำการ
แม้วันที่ 17 กันยายน จะมีสถานะขายสุทธิแต่ก็เป็นเพียงมูลค่า 415.69 ล้านบาท เท่านั้น หลังจากนั้นในวันที่ 18-20 กันยายน กระแสเงินลงทุนต่างประเทศก็กลับมามีสถานะซื้อสุทธิอีกครั้ง
จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ผู้สื่อข่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ติดต่อไปสอบถามข้อมูลกับทาง ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ถึงแนวโน้มการไหลกลับเข้ามาลงทุนของฟันด์โฟลว์ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง
โดยทาง ดร.วิศิษฐ์ ได้ให้คำตอบว่า จากการกลับเข้ามาลงทุนของฟันดโฟลว์ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา นับว่าเป็นการส่งสัญญาณของการกลับเข้ามาลงทุนยังตลาดทุนไทยที่มากขึ้น
ประกอบกับด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำให้ผลตอบแทนฝั่งพันธบัตรอาจไม่จูงใจอีกต่อไป สังเกตได้ว่ากระแสเงินลงทุนต่างประเทศได้กระจายตัวลงทุนในตลาดภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งไทยเองก็เป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายหลัก
และด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตามนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ในไตรมาส 4/2567 ก็คาดว่าจะได้เห็นภาพความชัดเจนมากขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นใจการกับเข้ามาลงทุนของต่างประเทศได้ ทำให้ฟัด์โฟลว์มีโอกาสไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง