KEY
POINTS
นายพิชัย ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยเปิดเผยว่า กลุ่มประเทศเอเชียที่เป็นดาวรุ่ง น่าจับตามองสำหรับการลงทุนในช่วงนี้คือ อินเดีย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ GDP โครงสร้างประชากร และรายได้ต่อหัวของประชากรที่สูงขึ้น ส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศ
อินเดีย มีโครงสร้างประชากรที่แข็งแกร่ง ด้วยจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก และอัตราการเติบโต 0.8% ต่อปี ส่งผลให้มีวัยแรงงานสูงและชนชั้นกลางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศสูงถึง 60% ของ GDP
รัฐบาลอินเดียเดินหน้าแผนสนับสนุนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวมกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ GDP เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8%
การออกแบบนโยบาย Systematic Investment Plans หรือ SIPs ที่สนับสนุนให้คนอินเดียเก็บออมเงินเพื่อการเกษียณ และนำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนหุ้นเป็นประจำ รวมทั้งสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วย ส่งผลให้มีเงินทุนเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนกว่า 9 หมื่นล้านบาททุกเดือน
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ตลาดอินเดียอาจเกิดความผันผวนจากแรงขายทำกำไร แต่ในระยะยาว ยังซื้อลงทุนได้ แนะนำกองทุน K-INDIA-A
อินโดนีเซีย ลงทุนสร้างเมืองหลวงใหม่
อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีโครงสร้างประชากรแข็งแกร่งเช่นกัน โดยมีจำนวนประชากรมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับที่ 4 ของโลก สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ คือรัฐบาลอินโดนีเซียมีการดำเนินนโยบายสำคัญ 2 ประการ ได้แก่
ทั้งนี้ อินโดนีเซียยังเป็นตลาดที่เข้าลงทุนได้ แต่ต้องจับตาอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น รวมถึงค่าเงินรูเปียมีทิศทางอ่อนค่า อาจทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
เวียดนาม เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยโครงสร้างประชากรที่มีวัยแรงงานจำนวนมาก ชนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้น นอกจากนี้ เวียดนามยังมีต้นทุนแรงงานต่ำ
ประกอบกับ การที่รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยได้เจรจาความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Apple, Samsung และ Nike ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลก มีส่วนช่วยให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เติบโตอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนในพอร์ตของนักลงทุนมีความสมดุลมากขึ้น สามารถลงทุนระยะยาวได้
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% มาที่ระดับ 4.75-5.00% เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งส่งผลดีต่อตราสารหนี้โดยตรง โดยเฉพาะตราสารหนี้ฝั่งประเทศเอเชีย เนื่องจากราคายังไม่แพง
ต่างกับตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีการปรับราคาขึ้นรับข่าวการลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าแล้ว นอกจากนี้ยังมีกองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐานที่จะได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
ทั้งนี้ มี 3 กองทุนแนะนำ ที่น่าสนใจลงทุนในช่วงเวลานี้ ได้แก่