จากปัจจัยความกังวลทางการเมืองที่เริ่มคลายตัวลง ทั้งเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ดำเนินการได้เร็ว และแผนการดำเนินนโยบายทางการเมืองไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนหน้ามากนัก ทำให้ตลาดมองว่านโยบายการเร่งฟื้นเศรษฐกิจในประเทศของไทยเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากขึ้น
ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวกลับขึ้นมากว่า 100 จุด ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน เหล่านักวิเคราะห์หลักทรัพย์ออกมาเผยในมุมมองที่มีทิศทางเดียวกันว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเดินหน้าปรับขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยการมาของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 และกองทุน Thai ESG
ซึ่งจะมาเป็นเสมือน "หมอนหนุน" ให้ ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง รวมถึงเป็น "เกราะ" ช่วยลดแรงความผันผวนของตลาดหุ้นไทย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติได้มาก นอกจากนี้ จากการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ธนาคารหลักทั่วโลกเริ่มปรับลดดอกเบี้ย
โดยเฉพาะสหรัฐฯ ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เริ่มหมดความน่าสนใจ ส่งผลให้กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับมาฝั่งตลาดภูมิภาคเอเชีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยเราเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติสนใจ
โดยหากย้อนกลับไปดูสถิติกระแสเงินลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. 67 "ฐานเศรษฐกิจ" พบข้อมูลว่า มีมูลค่าการซื้อสุทธิที่ระดับ 4,184,218.66 ล้านบาท และขายสุทธิที่ระดับ 4,278,826.07 ล้านบาท โดย ณ ปัจจุบันยังคงมีสถานะขายสุทธิที่ 94,607.41 ล้านบาท
ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนอื่นๆ ประกอบด้วย กลุ่มนักลงทุนสถาบัน บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนรายย่อยในประเทศนั้น พบว่า มีสถานะซื้อสุทธิที่ 1,931.66 ล้านบาท, 1,233.40 ล้านบาท และ 91,442.35 ล้านบาท
ทั้งนี้ สถิติกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่มีสถานะการขายสุทธิสูงสุดในปี 67 นับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. จำนวน 3 อันดับ ได้แก่ เดือนมี.ค. ที่ระดับ 41,314.24 ล้านบาท รองลงมา คือ เดือนมิ.ย. ที่ 34,871.88 ล้านบาท และ เดือนม.ค. จำนวน 30,874.11 ล้านบาท
ในขณะที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่มีสถานะซื้อสุทธิ 3 อันดับแรก นับตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย.67 สูงสุดได้แก่ เดือนก.ย. แม้จะยังไม่ครบเดือนเต็มดี แต่การไหลกลับเข้ามาของต่างชาติสูงที่ระดับ 30,140.49 ล้านบาทแล้ว รองลงมา คือ เดือน เม.ย. ที่ 3,913.66 ล้านบาท และ เดือนก.พ. จำนวน 2,862.14 ล้านบาท