วันนี้ (2 ตุลาคม 2567) นายอัสสเดช คงสิริ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์สงครามตะวันออกกลาง ที่มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากอิหร่านประกาศปฏิบัติการโจมตีอิสราเอล ไปก่อนหน้านี้ ว่า ประเด็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์และการเกิดสงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่า มีผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมต่อตลาดทุนทั่วโลกแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากจะแนะนำคือ ต้องจับตาดูและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนที่จะลงทุน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบกับเราอย่างไรบ้าง
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สถานการณ์สงครามตะวันออกกลางเริ่มรุนแรงขึ้น หลังอิหร่านซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล กระตุ้นให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น แน่นอนว่าอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในเรื่องของราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ในระยะสั้นอาจเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับกับข่าวดังกล่าว เพราะฝั่งตะวันออกกลางส่งออกน้ำมันเป็นหลัก โดยที่ใช้เส้นทางการเดินเรือขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ เป็นจุดสำคัญ ซึ่งอยู่ใกล้กับอิหร่านฝั่งทางตอนใต้
หากความรุนแรงทวีคูณมากขึ้นจนปิดกั้นเส้นทางช่องแคบฮอร์มุซ ก็อาจมีผลกระทบต่อการส่งออก ทำให้การเดินเรืออาจต้องหาเส้นทางใหม่ ซึ่งจะไปเพิ่มต้นทุนด้านค่าขนส่ง ค่าประกัน และต้นทุนเชื้อเพลิงให้สูงขึ้น ซึ่งหากว่าความรุนแรงขยายตัวเป็นวงกว้าง ดึงเอาประเทศที่ 3 และ 4 เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ผลกระทบดังกล่าวก็อาจอยู่ในระดับที่สูงขึ้นตามไปด้วย
เช่นเดียวกันค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มกลับมาแข็งค่า แต่มองว่าอาจเป็นในระยะสั้นเท่านั้น เพราะด้วยแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงที่เหลือของปี 67 นี้ และต่อเนื่องในปี 68 ทำให้ทางฝ่ายคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์ยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น หลังจากที่อิสราเอลได้สังหาร ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ล่าสุดอิหร่านซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล กระตุ้นให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงหนุนให้เกิดแรงเก็งสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับราคาทองคำที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง รวมทั้ง Dollar Index เริ่มกลับมาแข็งค่า รวมทั้งราคาน้ำมันดิบโลกที่ขยับขึ้นประมาณ 2.5%