ธนาคารไทยเครดิต อวดกำไรไตรมาส 3 ทำนิวไฮ 1.16 พันล้าน โต 41.7%

21 ต.ค. 2567 | 09:16 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2567 | 09:16 น.

ธนาคารไทยเครดิต ชูกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ทุบสถิติใหม่สูงสุดสู่ 1.16 พันล้านบาท ทะยาน 41.7% ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ 3.74 พันล้าน เพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อน

ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 ว่า ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 1,161.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.7% จากไตรมาสก่อนที่ 820.1 ล้านบาท และเติบโต 17.83% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 986.0 ล้านบาท

เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยมีปัจจัยหลักจากการที่ธนาคารฯ สามารถรักษาอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วทุกภาคส่วน รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้สินเชื่อลดลง จากการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำให้สัดส่วนเงินให้สินเชื่อ stage 2 และ stage 3 ต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลง และลูกหนี้บางส่วนสามารถปรับ ชั้นไป stage 1 ได้ภายหลังช่วงระยะเวลา monitoring
 

ประกอบกับผลกระทบจากส่วนสูญเสียจากการขาย NPL ลดลง เนื่องจากการปรับแผนลดการขาย NPL ตามคุณภาพหนี้ที่เริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ที่อยู่ในระดับที่ 39.9% ใน ไตรมาส 3/67

ทั้งนี้ อัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 เทียบกับไตรมาส 2/67 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่ง อยู่ที่ 8.7% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/67 อย่างไรก็ดี ธนาคารฯ ยังคงดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อรองรับความ ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 3,749.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อนที่ 3,685.2 ล้านบาท และเติบโต 9.41% จากเทียบช่วงเดียวที่ 3,426.9 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 10,979.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 9,788.5 ล้านบาท ปัจจัยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

กำไรสุทธิของธนาคารในช่วง 9 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 2,431.6 ล้านบาท ลดลง 13.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2,816.7 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของเงินให้สินเชื่อชั้นที่ 2 ที่เป็นผลกระทบเพียงครั้งเดียวจากการสิ้นสุดมาตรการผ่อนผันการจัดชั้นสินเชื่อที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ใน ไตรมาสที่ 1/67

โดยสินเชื่อดังกล่าวจะสามารถจัดชั้นกลับเป็นสินเชื่อปกติได้หลังจากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง เป็นเวลา 3 งวด ส่งผลให้ ECL เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 1/67 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารฯ ยังสามารถบริหารจัดการได้ที่อยู่ในระดับต่ำที่ 38.8% ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ รวมถึงอัตราส่วนต่างอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวด 9 เดือนแรกปี67 ของธนาคารฯ ยังแข็งแกร่งในระดับสูงที่ 8.6%