เปิดเบื้องหลัง JAS ลุ้นคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ 1.9 หมื่นล้าน

11 พ.ย. 2567 | 14:24 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2567 | 14:53 น.

JAS เตรียมทุ่ม 1.9 หมื่นล้านบาท ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ ผูกขาด 3 ประเทศ เริ่มฤดูกาล 25/26 พร้อมเผยแผนธุรกิจและแหล่งเงินทุนที่ต้องหาเพิ่มอีกเกือบ 1.5 หมื่นล้าน

กรณีบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพมูลค่ามหาศาลกว่า 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 19,167 ล้านบาท ถ่ายทอดสด 3 ประเทศ ไทย-ลาว-กัมพูชา เริ่มฤดูกาล 2025/26

จากการตรวจสอบเอกสารที่ JAS แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์พบว่า JAS ประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ โดยได้ลงนามใน Standstill Agreement กับ FAPL เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

จากการเปิดเผยรายละเอียดของดีล พบว่า JAS ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Rights) ในการถ่ายทอดสดผ่านทุกแพลตฟอร์ม ทั้งอินเทอร์เน็ตทีวี ดิจิทัลทีวี ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ไอพีทีวี และ OTT รวมถึงสิทธิ์ในการผลิตคลิปไฮไลท์ ครอบคลุมพื้นที่ 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา

สำหรับมูลค่าการลงทุนในกรณี 3 ฤดูกาล แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก 183,680,000 ดอลลาร์สหรัฐ เอฟเอคัพ 9,320,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคลิปแพ็กเกจอีก 4,660,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดย JAS ต้องชำระเงินมัดจำล่วงหน้า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 7 วันหลังการลงนาม

ทั้งนี้ FAPL ยังเปิดโอกาสให้ JAS ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดยาวถึง 6 ฤดูกาล หากได้รับการยืนยันภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ซึ่งจะทำให้มูลค่าดีลเพิ่มขึ้นเป็น 487,040,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับพรีเมียร์ลีก และ 21,960,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับเอฟเอคัพ

โดย JAS และ FAPL จะต้องบรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาฉบับสมบูรณ์ภายในวันที่ 15 มกราคม 2568 โดยผู้ชมในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา จะได้รับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอย่างเต็มรูปแบบผ่านช่องทางของ JAS ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับกลุ่มบริษัท

JAS ระบุว่า กลุ่มสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวีและธุรกิจการจัดหาคอนเทนต์ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการทำให้บ JAS สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวีและธุรกิจการจัดหาคอนเทนต์อย่างเต็มรูปแบบ และสอดคล้องกับแผนธุรกิจของกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ที่จะผลักดันให้ธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวีและธุรกิจการจัดหาคอนเทนต์เป็นเรือธง (Flagship) ของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในตลาด ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้าของกลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ธุรกรรมถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้า คู่ค้า และเครือข่ายผู้ติดตามของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งสมาชิกของธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคที่สนใจกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา

 

อีกทั้ง JAS กำลังอยู่ในกระบวนการแต่งตั้งพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ เพื่อทำการตลาดและการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ผ่านทางดิจิทัลทีวี (Digital TV) เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากธุรกรรมถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ซึ่งพันธมิตรดังกล่าวอาจจะเป็นคู่ค้าปัจจุบันที่มีศักยภาพ ซึ่งหากมีความคืบหน้า บริษัทฯ จะดำเนินการเปิดเผยข้อมูลและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่ากลุ่มบริษัทฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนสมาชิก สปอนเซอร์ และโฆษณา

แหล่งเงินทุนที่ใช้ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ

JAS จะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเท่ากับจำนวน 4,678.47 ล้านบาท และการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ซึ่ง JAS  อยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง 

นอกจากนี้ เนื่องจากการชำระค่าตอบแทนการได้ใช้สิทธิสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแบ่งเป็นรายงวดและสำหรับเอฟเอคัพแบ่งเป็นรายปี ทำให้บริษัทฯ สามารถพิจารณากู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเป็นคราว ๆ ไป ตามความต้องการการใช้เงินเพื่อนำมาชำระค่าตอบแทนการได้ใช้สิทธิสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีขาย (sales taxes) และภาษีหัก ณ ที่จ่าย) ตามงวดที่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งจะลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้เมื่อเทียบกับการชำระครั้งเดียวทั้งจำนวน

เงื่อนไขการเข้าซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ

JAS คาดว่าการเข้าทำธุรกรรมถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ประกอบกับเงื่อนไขตามที่จะได้ระบุไว้ใน Standstill Agreement และธุรกรรมถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้ง 1/2568 ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียง โดยไม่นับรวมผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย