รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความว่า
สถานการณ์ทั่วโลก 13 สิงหาคม 2564 ทะลุ 206 ล้านไปแล้ว ตายเกินหมื่นคน ส่วนไทยเรามีจำนวนติดเชื้อเมื่อวานสูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลกแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 676,570 คน รวมแล้วตอนนี้ 206,148,169 คน ตายเพิ่มอีก 10,124 คน ยอดตายรวม 4,346,562 คน
5 อันดับแรกที่มีจำนวนติดเชื้อต่อวันสูงสุด คือ อเมริกา อินเดีย อิหร่าน บราซิล และสหราชอาณาจักร
อเมริกา ติดเชื้อเพิ่ม 113,612 คน รวม 37,176,545 คน ตายเพิ่ม 646 คน ยอดเสียชีวิตรวม 635,926 คน อัตราตาย 1.7%
อินเดีย ติดเพิ่ม 40,078 คน รวม 32,117,052 คน ตายเพิ่ม 583 คน ยอดเสียชีวิตรวม 430,285 คน อัตราตาย 1.3%
บราซิล ติดเพิ่ม 35,891 คน รวม 20,285,067 คน ตายเพิ่ม 883 คน ยอดเสียชีวิตรวม 566,896 คน อัตราตาย 2.8%
รัสเซีย ติดเพิ่ม 21,932 คน รวม 6,534,791 คน ตายเพิ่ม 808 คน ยอดเสียชีวิตรวม 168,049 คน อัตราตาย 2.6%
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 28,554 คน ยอดรวม 6,398,983 คน ตายเพิ่ม 77 คน ยอดเสียชีวิตรวม 112,487 คน อัตราตาย 1.8%
อันดับ 6-10 เป็น สหราชอาณาจักร ตุรกี อาร์เจนติน่า โคลอมเบีย และสเปน ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่น
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา เอเชีย หลายต่อหลายประเทศติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
หากรวมทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ พบว่ายังมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 84.58 ของจำนวนติดเชื้อใหม่ทั้งหมดต่อวัน
ส่วนเกาหลีใต้ เมียนมาร์ เวียดนาม ล้วนติดหลักพันอย่างต่อเนื่อง
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพัน
แถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักร้อยถึงหลักพัน ยกเว้นอิรัก และอิหร่านติดเพิ่มหลักหมื่น
กัมพูชา ลาว และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่นิวซีแลนด์ ไต้หวัน และฮ่องกง ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
สำหรับสถานการณ์การระบาดของไทยเรานั้น ประเมินแล้วยังคงรุนแรงต่อเนื่อง
จำนวนติดเชื้อใหม่ของเมื่อวานนี้ สูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลก
และเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย เป็นรองเพียงอินเดีย อิหร่าน และอินโดนีเซียเท่านั้น
ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยรุนแรงและวิกฤติ ไทยเป็นอันดับ 6 ของโลก อันดับ 3 ของเอเชีย และอันดับ 1 ในอาเซียน
การสูญเสียชีวิตของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน
วัคซีนคืออาวุธสำคัญที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างกำหนดนโยบายและมีมาตรการจริงจังในการมุ่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาให้ประชาชนทุกคนในประเทศ
การกำหนดนโยบายวัคซีนที่ดีในยุคระบาดรุนแรงเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่การมุ่งเอาประชาชนในสังคมเป็นหนูทดลอง แต่จำเป็นต้องหาอาวุธที่พิสูจน์แล้วชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และย่อมไม่ใช่วางแผนให้สำหรับประชาชนบางส่วนในประเทศแค่พอมีระดับภูมิคุ้มกันหมู่ 70% เหมือนที่เคยได้ยินข่าวจากดินแดนหนึ่ง
เพราะการวางแผนลักษณะนั้น เรียกว่าเป็นการมองระยะสั้น โดยอาจมิได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดหนักจากไวรัสกลายพันธุ์ที่มีสมรรถนะสูงกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันหมู่ที่ต้องการมากกว่าที่คาดการณ์ได้ ดังที่เราเห็นในภาวะปัจจุบัน
ดังนั้นนโยบายที่ดีจึงควรจัดหาจัดเตรียมให้ครอบคลุมครบทุกคนในประเทศ ทั้งคนไทยและต่างด้าว ตั้งแต่ต้น ดังที่เห็นในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก
ยังยืนยันมาตลอดว่า การต่อสู้กับสถานการณ์ระบาดแบบที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้คือ
หยุดนิ่ง ตะลุยตรวจอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง แยกกักตัวผู้ติดเชื้อและดูแลรักษาให้หายดี ยุตินโยบายนำความเสี่ยงเข้ามาในประเทศทั้งเปิดเกาะเปิดท่องเที่ยวและเปิดประเทศ ปรับเปลี่ยนกลไกนโยบายและวิชาการที่ดำเนินการมาอย่างไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และเปลี่ยนนโยบายวัคซีนหลักของประเทศ มุ่งจัดหา mRNA vaccines และ Protein subunit vaccine เพื่อนำมาให้ประชาชน ส่วนประเภทอื่นใช้เป็นตัวเลือกเสริม...
ผลลัพธ์ของการดำเนินการด้านนโยบายและมาตรการควบคุมป้องกันโรคและวัคซีนในช่วงที่ผ่านมา เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้ทุกคนในสังคมได้เห็น และใช้ประเมินผลการทำงานได้เป็นอย่างดี ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด
งานนี้ไม่เหมือนกับการทำงานเอกสารทั่วไป ที่พลาดแล้วก็ลบแล้วเขียนใหม่ได้ แต่งานการศึกเช่นนี้ มีการสูญเสียทั้งเรื่องการเจ็บป่วย การเสียชีวิต และผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ และถามหาความรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้น หากทุกคนทุกกระบวนการนั้นได้ทำทุกอย่างตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
สำหรับประชาชนอย่างพวกเราทุกคน ขอให้มีกำลังใจป้องกันตัวเองและครอบครัวอย่างเต็มที่ ใส่หน้ากากสองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า สำคัญมาก
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) วันที่ 13 สิงหาคม 64 จากการรายงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. พบว่า
ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวม 23,418 ราย มาจาก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 23,030 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 388 ราย ผู้ป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 834,326 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 184 ราย หายป่วยกลับบ้าน 20,083 ราย กำลังรักษา 212,179 ราย หายป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 616,458 ราย