thansettakij
แฉ รพ.เอกชน ฟันกำไรจากสำลี-น้ำเกลือ-พลาสเตอร์ บวกเพิ่ม 6,900%

แฉ รพ.เอกชน ฟันกำไรจากสำลี-น้ำเกลือ-พลาสเตอร์ บวกเพิ่ม 6,900%

22 มี.ค. 2568 | 05:12 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 05:53 น.

สภาองค์กรของผู้บริโภค จี้รัฐควบคุมราคา หลังพบโรงพยาบาลเอกชนฟันกำไรจากสำลีก้อนต้นทุน 10 สตางค์ ขาย 7 บาท น้ำเกลือ 45 บาท ขาย 900 กว่าบาท พลาสเตอร์ 25 บาทขาย 200 กว่าบาท

สภาองค์กรของผู้บริโภค เผยแพร่คลิปการสัมภาษณ์ นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568

 

โดยหนึ่งในบทสัมภาษณ์นายภัทรกร เปิดเผยตอนหนึ่งว่า โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีผลกำไรสูงถึงหลักพันล้านถึงสี่พันล้านบาทต่อปี โดยไม่มีแนวโน้มที่จะลดค่ารักษาพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค แต่กลับมีแผนเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่สามารถเรียกเก็บค่ารักษาได้ในอัตราที่สูงกว่า เพื่อเพิ่มผลกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้น

จากนั้นนายภัทรกร เปิดเผยถึงการร้องเรียนจากผู้บริโภคที่นำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลเอกชนมาร้องเรียน โดยพบการคิดค่าเวชภัณฑ์และบริการในราคาที่สูงเกินจริงเป็นอย่างมาก สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน

 

นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC)

 

"จากการตรวจสอบใบเสร็จรับเงินของผู้ร้องเรียน เราพบว่าโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งคิดค่าเวชภัณฑ์ในราคาที่สูงเกินความเป็นจริงอย่างมาก" นายภัทรกรกล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีน้ำเกลือขนาด 1 ลิตร (1,000 มิลลิลิตร) ที่โรงพยาบาลเอกชนคิดราคาสูงถึง 919 บาท ในขณะที่ต้นทุนจริงอยู่ที่เพียง 45 บาท คิดเป็นส่วนต่างมากกว่า 800 บาท หรือประมาณ 1,900 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังพบการคิดค่าพลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร ในราคา 224 บาทต่อชิ้น ซึ่งราคาในท้องตลาดแพ็คละ 10 ชิ้นมีราคาเพียง 250 บาท หรือประมาณ 25 บาทต่อชิ้น คิดเป็นส่วนต่างกว่า 700 เปอร์เซ็นต์

 

"และที่น่าตกใจที่สุดคือการคิดค่าสำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ในราคา 7 บาทต่อก้อน ในขณะที่ต้นทุนจริงเพียง 10 สตางค์ คิดเป็นส่วนต่างสูงถึง 6,900 เปอร์เซ็นต์"  นายภัทรกร กล่าว

 

นายภัทรกร ระบุด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตลาดหรือราคากลางที่กรมบัญชีกลางกำหนด จะเห็นได้ชัดว่ามีการตั้งราคาที่สูงเกินจริงอย่างมาก แต่ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาควบคุมดูแล ทั้งที่ค่ารักษาพยาบาลถือเป็นปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

 

ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางสภาองค์กรของผู้บริโภคได้พยายามผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามากำกับควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยได้รับคำตอบว่าไม่อยู่ในส่วนของการควบคุมในลักษณะยาในโรงพยาบาล

 

"วันนี้สิ่งที่เราควรคุยกันคือ ทำไมไม่แก้ปัญหาที่ต้นทาง ว่าเงินเฟ้อทางการแพทย์มาจากไหน ทำไมไม่มีการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลเอกชนที่แพงเกินจริง แทนที่จะมาผลักภาระให้ผู้บริโภค" นายภัทรกรกล่าว

 

นอกจากนี้ นายภัทรกรยังเรียกร้องให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการคิดค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินจริง เก็บใบเสร็จและหลักฐานต่างๆ มาร้องเรียนได้ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค โทร. 1502 เพื่อรวบรวมข้อมูลและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป

 

"เราต้องการให้เสียงของผู้บริโภคสะท้อนกลับไปยังหน่วยงานรัฐว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการกำกับควบคุมไม่ให้เกิดเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่อยู่ในระดับอันตราย หากเปรียบเทียบส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับราคาที่เรียกเก็บที่สูงถึง 6,900 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้เรายอมกันได้อย่างไร" นายภัทรกรกล่าวทิ้งท้าย

 

 

ที่มาและชมย้อนหลัง