ปัญหาการพลัดหลงใน “ผู้สูงอายุ” ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ล้วนเกิดขึ้นได้ และป้องกันได้
“ผู้สูงอายุ” คือคนสำคัญในครอบครัว ที่ยังอยากใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย หากแต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงตามวัย ครอบครัวจึงต้องมีความเข้าใจและหาวิธีช่วยดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงลืม และเสี่ยงต่อการพลัดหลงได้
จากสถิติของมูลนิธิกระจกเงา พบว่าในปี 2566 มีการแจ้งเหตุคนหายทั้งหมด 2,200 ราย ขณะที่สัดส่วนจำนวนของคนหายที่มีมากที่สุดคือ “กลุ่มผู้สูงอายุ” ที่เวลานี้กลายเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของสังคมไทยตามสถิติของกรมผู้สูงอายุ โดยในปี 2566 มีจำนวนประชากรกลุ่มนี้สูงถึง 20.08% เรียกว่าเข้าเกณฑ์ สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society)
ขณะที่กลุ่มผู้สูงวัยที่พลัดหลงหายไปจากบ้าน มักมีอาการหลงลืมหรือเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ทำให้การติดตามช่วยเหลือยิ่งเป็นไปได้ลำบาก จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นที่มาของ โครงการหาย(ไม่)ห่วง ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของมูลนิธิกระจกเงาและภาคเอกชน ที่ห่วงใยและตั้งใจเข้ามาดูแลผู้พลัดหลงกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
“เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข” หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย “มูลนิธิกระจกเงา” เล่าให้ฟังถึง “โครงการหาย(ไม่)ห่วง” ว่า ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนกว่า 3,000 คน ในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา และช่วยพาผู้พลัดหลงกลับบ้านอย่างปลอดภัยมาแล้วกว่า 40 คน ขณะที่ 3 เดือนแรกของปี 2567 ช่วยผู้พลัดหลงกลับสู่อ้อมอกครอบครัวมาแล้ว 15 คน
เอกลักษณ์ บอกว่า ปัญหาคนหายมาจากสาเหตุมากมายเกินกว่าคาดคิด ทางมูลนิธิฯ จึงปรับการทำงานและปรับชื่อหน่วยงานเป็น “ศูนย์ข้อมูลคนหาย” ที่รับแจ้ง ปรึกษา ตามหา และติดตามปัญหาคนหายที่มีความหลากหลายในทุกรูปแบบ โดยเอกลักษณ์ก็ได้ขยับมารับหน้าที่เป็นหัวหน้างานของศูนย์นี้เช่นกัน
ทั้งนี้มูลนิธิทำ Database มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว จึงมีระบบฐานข้อมูลบันทึกเคสคนหายทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจรูปแบบของปัญหาอย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วคนหายไปจากสาเหตุอะไร ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีความแตกต่างกัน
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมาตลอดทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้วปัญหาคนหายมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม โดยในช่วง 5 ปีมานี้กลุ่มที่พลัดหลงสูญหายส่วนใหญ่คือ กลุ่มผู้สูงวัย และผู้ป่วยจิตเวช
“ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้พลัดหลงกลุ่มนี้คือ พวกเขาจะให้ข้อมูลตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากที่ไหน ตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญมากในกระบวนการระหว่างให้การช่วยเหลือ”
โครงการหาย(ไม่)ห่วง ต้องการผู้สนับสนุนมาร่วมกันคิดร่วมกันทำ โดยเฉพาะในแง่ที่ทำให้เรื่องนี้เข้าถึงสาธารณะให้ได้มากที่สุด โดยมี “ทรู” เป็นพันธมิตรที่ดีและผู้สนับสนุนงานติดตามคนหายมาตั้งแต่ในรายการ True Academy Fantasia ที่มีการกดโหวตเงินบริจาคให้มูลนิธิกระจกเงา ก็ได้เข้ามาร่วมกันทำงานและสนับสนุนให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริง รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ในวงกว้างผ่านความเชี่ยวชาญของทรู
โดยทีมงานศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาและพาร์ตเนอร์ของโครงการช่วยกันระดมความคิด ทำให้โครงการหาย(ไม่)ห่วงมีกลไกที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้
• Practical tools อุปกรณ์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือและระบุตัวตนของผู้พลัดหลงได้ โดยแต่ละชิ้นต้องผ่านการลงทะเบียนทั้งผู้สวมใส่และญาติที่สามารถติดต่อได้
• Privacy protection ข้อมูลส่วนบุคคลของทั้งผู้สวมใส่และครอบครัวที่ลงทะเบียนไว้จะอยู่ในระบบฐานข้อมูลที่ออกแบบอย่างรัดกุมและเข้าถึงได้เฉพาะศูนย์ข้อมูลคนหายที่เป็นตัวกลางในการรับแจ้ง ตรวจสอบข้อมูล และประสานงาน
• Community engagement การรับรู้ของสังคมทำให้มีผู้คนคอยช่วยกันสังเกต แจ้งเหตุ ช่วยดูแลกันและกัน และเกิดความตระหนักรู้ถึงปัญหา ถ้าหากมีคนในครอบครัวที่เสี่ยงพลัดหลงก็ลงทะเบียนกับโครงการได้
รายละเอียดของกระบวนการทำงานที่ทำให้เกิดโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกขั้นตอนต้องอาศัยองค์ความรู้ ประสบการณ์ มุมมองจากรอบด้าน รวมไปถึงความเข้าอกเข้าใจอย่างแท้จริง
การหาอุปกรณ์เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่สุดแล้วก็มาลงตัวที่ “ริสแบนด์” หรือสายรัดข้อมือสีเหลือง ที่มีเพียงแต่มีสัญลักษณ์หัวใจ QR Code และหมายเลขสายด่วนและเลขรหัสขนาดเล็กที่พอสังเกตเห็นได้ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนออกแบบมาจากความเข้าอกเข้าใจและเคารพของสิทธิของสวมใส่ในทุกมิติ
“ริสแบนด์นี้ผ่านการคิดและทดลองมาเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องความแข็งแรงคงทนที่ต้องทำเป็นสองชั้น เรื่องไซส์ที่พอดีกับข้อมือที่มีขนาดต่างกัน ที่สำคัญคือเรื่องรูปลักษณ์โดยเลือกสีที่ผู้สวมใส่ต้องไม่รู้สึกแปลกแยก แตกต่าง สัญลักษณ์บนริสแบนด์ก็มีเพียงรูปหัวใจแต่สิ่งสำคัญคือเครื่องหมาย QR Code ที่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อสารให้คนสังเกตได้ว่าน่าจะต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่สวมไว้ เพราะยุคนี้เราต่างก็คุ้นชินกับการสแกนข้อมูลแบบนี้อยู่แล้ว”
นอกจากริสแบนด์แล้วยังมีป้าย QR Code ขนาดเล็กที่ใช้รีดติดเสื้อผ้าหรือใช้พกพาได้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ยังคงคำนึงถึงความรู้สึกและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้สวมใส่ ไม่ให้รู้สึกถูกตีตราว่าเป็นบุคคลที่ต้องการการดูแลพิเศษ
ริสแบนด์ทุกเส้นจำเป็นต้องลงทะเบียนข้อมูลของทั้งผู้สวมใส่และญาติหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่ติดต่อได้ในกรณีมีเหตุพลัดหลง ซึ่งเอกลักษณ์ยืนยันว่า ข้อมูลทั้งหมดนี้จะได้รับการปกป้องเป็นอย่างรัดกุม ตั้งแต่ระบบหลังบ้านที่ออกแบบมาอย่างดี และการจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าถึงข้อมูลและใช้ตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด แม้แต่เซิร์ฟเวอร์ก็เก็บรักษาดูแลที่มูลนิธิกระจกเงา
“ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุด ระบบข้อมูลต่างๆ ผ่านการคิดและออกแบบมาอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะต้องมีบุคคลมาช่วยทำงานหลังบ้านและประสานงาน แต่ก็มีการจำกัดสิทธิ์ผู้ที่เข้าถึงได้เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ 8 คนโดยใช้ข้อมูลเพื่อการตามหาคนหายเท่านั้น
ในกรณีที่มีการสแกน QR Code ที่ริสแบนด์ จะมีข้อความขึ้นในจอมือถือว่า ‘บุคคลนี้ต้องการความช่วยเหลือ โปรดนำส่งสถานีตำรวจใกล้เคียง หรือติดต่อที่หมายเลขสายด่วนของศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา’ เท่านั้น ไม่สามารถระบุถึงตัวตนของผู้สวมใส่ได้”
นอกจากนี้ วิธีการหลักในการติดตามคนหายจะเน้นไปที่งานเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบไปยังเครือข่ายต่างๆ มีการสืบสวน ติดตาม ลงพื้นที่ไปหาข่าว ส่วนวิธีการประกาศที่ต้องเปิดเผยข้อมูลผู้พลัดหลงมีเพียงจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็น
“ประกาศคนหายที่เห็นเป็นเพียง 30% ของเคสที่รับแจ้งเท่านั้น และต้องได้รับการตรวจสอบและความยินยอมจากญาติ เราคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมาเสมอ ขอให้มั่นใจได้ว่าโครงการนี้รับผิดชอบต่อข้อมูลของทุกคนที่สมัครเข้ามา
เมื่อพลเมืองดีสแกน QR Code ที่ริสแบนด์ ก็จะมีข้อความแจ้งมายังทีมงานเพื่อประสานให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว หรือส่วนมากพลเมืองดีก็มักจะโทรเบอร์สายด่วนที่อยู่บนริสแบนด์เข้ามาเลย ทีมงานก็จะรีบทำการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ทันที”
กระบวนการหลังได้รับแจ้งเหตุนั้น ทีมงานจะพูดคุยกับผู้แจ้งเหตุเพื่อขอโลเคชั่นและรูปถ่ายของผู้พลัดหลง รวมถึงรหัส PIN บนริสแบนด์ เพื่อเทียบเคียงตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจึงแจ้งแนวทางในการช่วยเหลือต่อไป
“เมื่อทีมงานได้ระบุตัวตนของผู้พลัดหลงได้แล้ว ก็จะรีบติดต่อไปที่ญาติตามที่ให้ข้อมูลไว้ ซึ่งระหว่างนี้ก็จะขอให้พลเมืองดีช่วยดูแลก่อน แต่ถ้าไม่ได้ก็จะรีบประสานงานกับสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ช่วยรับช่วงต่อก่อนที่จะญาติจะมา ซึ่งเราจะอยู่ประสานงานจนกว่าพวกเขาจะได้กลับบ้าน โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเลย”
เอกลักษณ์ บอกอีกว่า ริสแบนด์ของโครงการหาย(ไม่)ห่วง มีต้นทุนเส้นละ 170 บาทสามารถรักษาชีวิตของคนคนหนึ่งได้และพาเขากลับบ้านไปหาครอบครัวอย่างปลอดภัย ซึ่งทรูก็ได้ช่วยดูแลสนับสนุนส่วนนี้มาตลอด ผู้ลงทะเบียนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเราจัดส่งให้ถึงบ้านทุกคน”
ปัญหาคนหายเป็นปัญหาสังคมที่เป็นสากล นั่นคือ ทุกประเทศในโลกเจอปัญหานี้ทั้งสิ้น เพียงแต่จะมีการบริหารจัดการต่อปัญหานี้อย่างไร เพราะในความจริงแล้วผู้สูงวัยที่มีอาการหลงลืม หรือบุคคลออทิสติกก็ยังต้องใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตระหนักรู้ปัญหาและความช่วยเหลือกันของคนในสังคม
“คนอาจมองว่าเราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ถ้าไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงก็จะแก้ไม่ได้เลย จุดมุ่งหมายตอนนี้เราอยากให้สังคมตระหนักต่อปัญหาคนหาย เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ได้ จากการทำงานที่เราเจอคนหายแทบทุกเคส มาจากที่คนในสังคมไม่นิ่งดูดาย ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กัน และที่สำคัญคือรู้วิธีปกป้องตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด”
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียน โครงการหาย(ไม่)ห่วง ได้ที่ https://wristband.thaimissing.org/home