ภัยเงียบจาก "โซเดียม" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

03 ธ.ค. 2567 | 22:00 น.

สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย เตือนผู้บริโภคอ่านฉลากก่อนเลือกกินอาหาร ระบุปี 2567 สถานการณ์โซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส ยังเป็นบ่อเกิดของโรค NCDs

นายธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ภายใต้โครงการสำรวจข้อมูลโภชนาการในผลิตภัณฑ์อาหาร 2567 สุ่มสำรวจอ่านฉลากค่าโซเดียมกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป จำนวน 302 ตัวอย่าง และเครื่องปรุงรส จำนวน 105 ตัวอย่าง พร้อมเตือนผู้บริโภครู้เท่าทันการอ่านฉลาก จากภัยเงียบโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส บ่อเกิดของโรค NCDs 

ด้วยปัจจุบันอาหารกึ่งสำเร็จรูปได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก เพราะมีให้เลือกหลากหลายรสชาติ และสามารถเตรียมเสร็จพร้อมรับประทานได้ภายใน 3 นาที และอาหารกึ่งสำเร็จรูปเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น ด้วยปัจจุบันตกอยู่ในภาวะที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมอาหารเพื่อรับประทาน อาหารกึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือโซเดียม ไม่ว่ารสชาติเดิมจากผลิตภัณฑ์จะอร่อยแค่ไหน บางคนก็หนีไม่พ้นกับการปรุงเพิ่ม

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสเค็ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ผงปรุงรส  ซึ่งปกติคนเราหากกินโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากกว่าที่คิด ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

นายธนพลธ์ กล่าวว่า การสำรวจข้อมูลโภชนาการในผลิตภัณฑ์อาหารในปี พ.ศ. 2567 เป็นการติดตามสถานการณ์โซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสปี 2567 และติดตามการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์ที่เคยนำมาสำรวจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ในปีนี้ยังเน้นย้ำเช่นเดิมคือให้ผู้บริโภคหันมาอ่านฉลากกันแบบจริงจังก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ 

"ทุกวันนี้โรค NCDs เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยสูงมากเนื่องจากการบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ในข้อมูลจากผลสำรวจ ทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้รวบรวมปัญหาหลายๆด้านออกมาเป็นข้อเสนอดังนี้  ข้อเสนอต่อผู้บริโภค 1)เพื่อให้ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากโภชนาการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อลดภาวะเลี่ยงเกิดโรค NCDs"

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

ข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ 

  1. ให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร 
  2. ให้ผู้ประกอบการจัดทำฉลากให้ผู้บริโภคเห็นชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่าย และ
  3. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทุกประเภทต้องมีฉลาก GDA  

ข้อเสนอต่อหน่วยงาน   

  1. เพื่อให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร
  2. สนับสนุนให้เกิดมาตรการของรัฐเกี่ยวกับการเก็บภาษีโซเดียม เน้นสร้างแรงจูงใจในการปรับสูตรอาหารในทางธุรกิจ
  3. ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผลักดันฉลากสีสัญญาณไฟจราจร เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องการอ่านฉลาก
  4. ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรเรื่องการอ่านฉลากให้กับเด็กตั้งแต่ระดับประถมศึกษา (สุขภาพดีแต่วัยเด็ก)
  5. ให้มีมาตรการควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
  6. ให้มีกฎหมายควบคุมเพดานปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์
  7. ให้ภาครัฐสนับสนุนและชดเชยสินค้าประ.เภทลดโซเดียม และ
  8. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทุกประเภทมีฉลาก GDA

ด้าน นางสาวศศิภาตา ผาตีบ ผู้สำรวจและนักวิจัย สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลสุ่มสำรวจฉลากโภชนาการในกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสประจำปี 2567 เริ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม  พ.ศ.2567 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ซื้อจากร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ในซองผลิตภัณฑ์ประกอบไปด้วย ฉลากอาหาร ฉลากโภชนาการ (แบบเต็มและแบบย่อ) และฉลากโภชนาการแบบ GDA ที่มีข้อมูลแตกต่างกันไปตามผลิตภัณฑ์ จำแนกออกเป็น 
กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป จำนวน 302 ตัวอย่าง พบว่า มีปริมาณโซเดียมดังนี้ 

  1. ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น จำนวน  236 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่  210 –7,200  มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 
  2. โจ๊ก ข้าวต้ม จำนวน 47 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 0 – 1,420 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 
  3. ซุปต่างๆ จำนวน 19 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 170 – 810 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

กลุ่มเครื่องปรุงรส จำนวน 105 ตัวอย่าง จำแนกออกเป็น 4 ประเภท พบว่า มีปริมาณโซเดียม ดังนี้  

  1. ซอส ซีอิ้ว น้ำมันหอย น้ำปลา จำนวน 69 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 85-2,560 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
  2. น้ำปรุงรส พริกแกง กะปิ จำนวน 20 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 65-1,490 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 
  3. ผงปรุงรส จำนวน 6 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 10-950 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 
  4. เนย ชีส  จำนวน 10 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 55-280 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 

รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ อาจารย์แพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ สาขาโรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า การลดบริโภคเกลือ(โซเดียม) มีผลดีต่อสุขภาพและยังช่วยลดค่ารักษาพยาบาลของประเทศ การรณรงค์ให้ได้ผลดีต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน และต้องใช้มาตราการต่างๆ ร่วมกันทั้งการสร้างความตระหนักรู้ การปรับสูตรอาหาร มาตรการทางกฏหมายและข้อบังคับเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศไทย กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขและทุกภาคส่วนได้ ดำเนินแผนยุทธศาสตร์การลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทยปี 2559-2568 และตั้งเป้าหมายลดบริโภคเกลือโซเดียม 30% ในปี 2568 เพื่อคนไทยมีสุขภาพดี ทั้งจัดตั้งการให้บริการอาหารสุขภาพลดเค็มใน 83 โรงพยาบาล และชุมชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งการให้บริการอาหารสุขภาพลดเค็มในมหาวิทยาลัยมหิดลทั้งที่ศาลายาและพญาไท 

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

ด้วยการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค สอนผู้ประกอบการในการปรับสูตรอาหารเป็นเมนูทางเลือก และใช้เครื่องวัดความเค็มที่พัฒนาขึ้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ในการทดสอบอาหาร นอกจากนี้เครือข่ายลดบริโภคเค็มยังร่วมมือกับเชฟอาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทยและสมาคมเชฟแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจร้านอาหาร สมาคมภัตตาคารไทยได้มีส่วนร่วมในการจัดอาหารที่ดีต่อสุขภาพในร้านอาหาร

ในส่วนอาหารอุตสาหกรรม พบว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง ขนมกรุบกรอบ ยังมีปริมาณโซเดียมในระดับที่สูงมากโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุขควรเข้ามามีบทบาทในการกำหนดเพดานโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย รวมทั้งการควบคุมการตลาดของอาหารที่เป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ ในขณะเดียวกันกระทรวงการคลัง ควรจัดเก็บภาษีโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโซเดียมสูงเกินค่าที่ปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ส่งเสริมผู้ผลิตให้มีการปรับสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อลดโซเดียม อย่างที่เห็นผลมาแล้วจากการจัดเก็บภาษีความหวานในเครื่องดื่ม

ด้าน Christine Johnson, Resolve to Save Lives กล่าวว่า ข้อมูลด้านสาธารณสุขเป็นข้อมูลสำคัญ เพื่อการกำหนดเป้าหมายการลดปริมาณโซเดียมในอาหารตามข้อแนะนำด้านสุขภาพระดับโลก ในนามของ Resolve to Save Lives องค์กรสาธารณสุขระดับโลกที่มุ่งมั่นในการช่วยชีวิตประชาชนผ่านมาตรการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งรวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด แนะนำมาตรการต่างๆ เพื่อลดการบริโภคโซเดียมจากอาหารสำเร็จรูป รวมถึงนโยบายระดับชาติที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่มีโซเดียมต่ำและดีต่อสุขภาพ นโยบายและมาตรการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลประกอบด้วย 

  • กำหนดเพดานปริมาณโซเดียมสูงสุด 
  • ติดฉลากโภชนาการด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ 
  • เก็บภาษีอาหารที่มีโซเดียมสูง
  • ควบคุมการทำการตลาดหรือโฆษณาอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก 

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

การกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณโซเดียมในอาหารสำเร็จรูปเป็นหนึ่งใน “Best Buy” ขององค์การอนามัยโลก เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและมีความคุ้มค่าสำหรับรัฐบาลในการดำเนินการ ข้อเสนอของเครือข่ายลดบริโภคเค็มในการลดปริมาณโซเดียมในอาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารพร้อมรับประทาน ซอส และเครื่องปรุงรส สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกและเป็นมาตรการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในประเทศอื่นๆ เช่น

ที่สำนักอนามัยของนครนิวยอร์ก ได้กำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณโซเดียมในอาหารสำเร็จรูปหลากหลายประเภท ในช่วง 5 ปีแรก ได้ติดตามการปรับสูตรของภาคอุตสาหกรรม พบว่าปริมาณโซเดียมในอาหารสำเร็จรูปนั้นลดลงเกือบ 7% ในประเทศอาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในประเทศที่บุกเบิกการใช้นโยบายบังคับเพื่อลดการบริโภคโซเดียม ปัจจุบันอาร์เจนตินากำหนดเพดานปริมาณโซเดียมที่บังคับใช้ในอาหารหลากหลายประเภท โดยบังคับใช้อย่างเข้มข้นในหลายหมวดหมู่อาหาร

ขณะที่ประเทศไทย ได้ศึกษาล่าสุดโดยองค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับปริมาณโซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พบว่าปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์แตกต่างกันอย่างมากระหว่างประเทศต่างๆ ในเอเชีย แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมสูงนั้นสามารถปรับสูตรให้มีโซเดียมน้อยลงได้ การบังคับใช้มาตรการปรับสูตรเพื่อลดปริมาณโซเดียมและการเก็บภาษีอาหารที่มีโซเดียมสูงเป็นนโยบายที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะช่วยรักษาชีวิตคนไทยและลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของภาครัฐไทยได้หลายล้านบาท และยังเป็นการแสดงบทบาทนำของรัฐบาลไทยในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนชาวไทยอีกด้วย

ภัยเงียบจาก \"โซเดียม\" ปี 2567 ในอาหารกึ่งสำเร็จรูป-เครื่องปรุงรส

นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากข้อมูลของ World Instant Noodles Association ปี 2566 คนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณ  3,950 ล้านเสิร์ฟ เป็นอันดับ 9 ของโลก ในยุคแห่งการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ หลายคนชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะอิ่มท้อง ปรุงง่าย และรสชาติอร่อย แต่ก็จัดเป็นอาหารที่มีโซเดียมสูงที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งเกิดจากการ“กินเค็มมากเกินไป” ทำให้เกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโรคไตวายตามมาได้ 

จากโครงการสำรวจ “ฉลาดซื้อ” มีคำแนะนำว่า การเลือกซื้ออาหารกึ่งสำเร็จรูปต้องเลือกที่ระบุชื่อของผลิตภัณฑ์ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตอย่างชัดเจน มีเลขสารบบอาหาร ซึ่งแสดงว่าได้ขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าจาก อย.เรียบร้อยแล้ว ต้องบอกปริมาณเป็นระบบเมตริก เพื่อให้เปรียบเทียบกับสินค้าอย่างเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อได้ ซึ่งจะทำให้ได้สินค้าที่สมกับราคา ผู้บริโภคต้องอ่านข้อมูลโภชนาการบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารก่อนทุกครั้ง และควรระวังเด็กๆ ที่ชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยไม่ได้ต้มก่อน เพราะเมื่อบะหมี่ตกถึงกระเพาะจะดูดน้ำจากส่วนอื่นของร่างกายทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ถ้ากินมากๆ และไม่ดื่มน้ำตามก็อาจจะเกิดอาการวิงเวียนหรือหน้ามืด

การลดโซเดียมเมื่อกินราเมงหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

  • ให้ต้มเส้นในน้ำเดือด 1-2 นาที แล้วเทน้ำทิ้ง จากนั้นเติมน้ำต้มจนสุก ไม่ใส่ผงปรุงรสหมดซอง ใส่แค่ครึ่งเดียวและใส่น้ำน้อยๆ และไม่ซดน้ำซุปจนหมดเกลี้ยงถ้วย 
  • กินเพิ่มผัก ไข่ เนื้อสัตว์ หรือเต้าหู้ เพื่อเพิ่มคุณค่าสารอาหารให้ได้ครบหมู่
  • ไม่ควรกินเกินวันละ 1 ซอง / ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ซอง และไม่ควรกินดิบ
  • เก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่แห้ง ห่างไกลจากมดและแมลงจะเจาะเข้าไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนเชื้อโรค
  • การดื่มน้ำมากๆ เมื่อบริโภคอาหารที่มีโซเดียมปริมาณมาก ไม่ได้ช่วยให้โซเดียมในร่างกายลดลง แต่ทำให้เลือดมีปริมาตรเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้