ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค 2567 ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นี้ เป็นอีกหนึ่งในพระราชพิธี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวง ครบ 6 รอบ ที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอย
พระราชประเพณีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค หนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สืบทอดต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นริ้วขบวนเรือพระราชพิธีที่จัดขึ้นสำหรับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเรือพระราชพิธี คือ เรือพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์ เป็นที่ประทับในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปในการต่างๆทั้งเป็นการส่วนพระองค์ และเพื่อประกอบการพระราชพิธีต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคอีกครั้งในปีนี้ ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นี้
การจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ ใช้เรือพระราชพิธี จำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ จัดขบวนเป็น 5 ริ้ว ความยาว 1,200 เมตร กว้าง 90 เมตร ใช้กำลังพลประจำเรือในขบวนเรือพระราชพิธี
รวมทั้งสิ้น 2,200 นาย โดยประชาชนสามารถรับชมความงดงามของเรือพระราชพิธีได้ตลอดทั้ง 2 ฝั่ง ของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระราม 8 ไปจนถึงวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
เรือไฮไลท์ในขบวนเรือพระราชพิธี ที่หลายคนรอชมความงาม คงหนีไม่พ้น เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
โดยกองทัพเรือ ได้อัญเชิญเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ ลงน้ำตามลำดับ เพื่อทยอยซ้อมย่อยอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำลังพลในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค และฝีพายเรือพระราชพิธี จำนวน 2,200 นาย เริ่มขบวนตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ประชาชนที่มีความสนใจรับชมการฝึกซ้อมฝีพายและความงดงามของขบวนเรือพระราชพิธี สามารถรับชมได้ตลอด 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งนี้ประชาชนสามารถชมการซ้อมย่อย แบบรูปขบวนเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงเวลาที่เหลือได้ ในวันที่ 3 กันยายน 2567 ,วันที่ 12 กันยายน 2567 ,วันที่ 19 กันยายน 2567 ,วันที่ 26 กันยายน 2567 ,วันที่ 1 ตุลาคม 2567 และวันที่ 10 ตุลาคม 2567 และจะมีการซ้อมใหญ่ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 , วันที่ 22 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00-18.00 น. ก่อนถึงวันพระราชพิธี เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินในวันที่ 27 ตุลาคมนี้
เรือพระราชพิธีในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทั้ง 52 ลำ ประกอบไปด้วย เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 , เรือรูปสัตว์ 8 ลำ อาทิ อสุรวายุภักษ์-อสุรปักษี , เรือคู่ชัก 2 ลำ, เรือพิฆาต 2 ลำ, เรือประตูหน้า 2 ลำ, เรือกลอง 2 ลำ, เรือแซง 7 ลำ, เรือตำรวจ 3 ลำ และเรือดั้ง 22 ลำ
“เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์”
เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง หรือ เรือพระที่นั่งชั้นสูงสุด แกะสลักโขนเรือเป็นรูปหงส์ เป็นลำทรงของพระมหากษัตริย์ในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เดิมชื่อเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ ทราบได้จาก บทเห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ที่ส่งประพันธ์ไว้ว่า “สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรหมมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม”
สำหรับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 โขนหัวเรือเป็นรูปหงส์ ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่จามรีห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือภายในทาสีแดง ตอนกลางลำเรือทอดบัลลังก์กัญญาหรือบุษบกสำหรับเป็นที่ประทับ มีความยาว 44.40 เมตร กว้าง 3.17 เมตร ลึก 0.94 เมตร ใช้ฝีพาย 50 คน
ทั้งนี้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ยังได้รับรางวัลยกย่องให้เป็นเรือมรดกโลก จากองค์การเรือโลก (WORLD SHIP TRUST) แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อปี 2535 อีกด้วย
“เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช”
เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง เป็นเรือพระที่นั่งบัลลังก์ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค โดยปกติจะใช้เป็นเรือพระที่นั่งรอง หรือเรือเชิญผ้าพระกฐิน และประดิษฐานบุษบกสำหรับพระพุทธรูปสำคัญซึ่งมีโขนเรือเป็นรูปพญานาค 7 เศียร สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 3
ทรงพระราชดำริว่าพระที่นั่งครุฑของเดิมก็มีอยู่แล้ว แต่พระที่นั่งนาคยังหามีไม่ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทำเรือพระที่นั่งนาคา 7 เศียรนี้ขึ้น
ส่วนลำปัจจุบันสร้างขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2475 โดยได้รับการซ่อมแซมอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2510 ท้องเรือภายในทาสีแดง ยาว 42.95 เมตร กว้าง 2.95 เมตร กินน้ำลึก 0.31 เมตร ใช้ฝีพาย 54 คน
“เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์”
ลำปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซ่อมแซมใหม่ในปี 2510 ชื่อเรือมาจากคำภาษาสันสกฤต ว่า อเนกะชาตะภุชงคะ แปลว่า งูหลากหลายชนิด ซึ่งสอดคล้องกับรูปโขนเรือที่ลงรักปิดทองมีลายรูปงูตัวเล็กๆจำนวนมาก คำว่า ภุชงคะ ในภาษาสันสกฤต มีความหมายเดียวกันกับคำว่า นาคะ หรือ นาค ในภาษาไทย
โดยนาคที่เป็นเทพหรือทิพยนาค เป็นตัวแทนแห่งพลังอำนาจ ความรอบรู้ และความอุดมสมบูรณ์ ลำเรือภายนอกทาสีชมพู ท้องเรือภายในทาสีแดง ยาว 45.50 เมตร กว้าง 3.15 เมตร กินน้ำลึก 0.46 เมตร ใช้ฝีพาย 61คน
“เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ”
เป็นเรือสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เมื่อปี 2539 โดยกองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากร ด้วยการนำโขนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 มาเป็นต้นแบบ
โดยโขนเรือและตัวเรือจำหลักลงรักปิดทองประดับกระจก ที่หัวเรือเบื้องใต้ครุฑเป็นช่องสำหรับปืนใหญ่ กลางลำเรือทอดบัลลังก์กัญญาและมีแท่นประทับ เรือมีความยาว 44.3 เมตร กว้าง 3.20 เมตร ลึกถึงท้องเรือ 1.10 เมตร กินน้ำลึก 40 เซนติเมตร มีฝีมือพาย 50 นาย
การจัดริ้วกระบวนได้แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ ขบวนพยุหยาตราใหญ่ และขบวนพยุหยาตราน้อย ซึ่งเรือพระที่นั่ง จะแวดล้อมไปด้วยริ้วขบวนเรือของขุนนาง และทหารในกอง กรมต่างๆ ที่เรียกว่าเรือหลวง มีการจัดเรียงลำดับเรือต่างๆ ตามแบบแผนของการจัดทัพที่มีมาแต่โบราณ แบ่งออกเป็น 5 ตอน
ได้แก่ ขบวนนอกหน้า ขบวนในหน้า ขบวนเรือพระราชยาน ขบวนในหลัง และขบวนนอกหลัง เต็มไปด้วยความสวยงาม ความโอ่อ่าตระการตา และความมีระเบียบสมกับเป็นประเพณีของชาติ ที่มีอารยธรรมอันสูงส่งมาแต่โบราณกาล
เตรียมนับถอยหลังรอชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค 2567 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
Cr : ภาพ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)