วันที่ 16 ตุลาคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น "วันอาหารโลก" เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาความอดอยากและความไม่มั่นคงทางอาหารทั่วโลก ในปี 2567 การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยิ่งท้าทายขึ้นภายใต้บริบทของวิกฤตเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อและความขัดแย้งในหลายภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อระบบอาหารอย่างรุนแรง
จากรายงาน The State of Food Security and Nutrition in the World 2024 (SOFI) ที่เผยแพร่โดย องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) พบว่าประชากร 713 ถึง 757 ล้านคนยังคงเผชิญกับความอดอยากในปี 2566 แม้หลายประเทศจะพยายามพัฒนาความมั่นคงทางอาหารแล้ว ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้
สงครามและวิกฤตพลังงานยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าอาหารพุ่งสูงขึ้น ในปี 2566 การเข้าถึงอาหารในหลายประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ก็เป็นปัญหาสำคัญ แม้จะเป็นภูมิภาคที่พัฒนาแล้ว ผู้คนจำนวนมากยังไม่สามารถซื้ออาหารที่มีโปรตีนหรืออาหารโภชนาการครบถ้วนได้บ่อยตามต้องการ ตัวอย่างเช่น ในลักเซมเบิร์กราคาอาหารสูงกว่าค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปถึง 19% ขณะที่โรมาเนียมีราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 26%
รายงานระบุว่าในปี 2565 มีประชากรกว่า 2.8 พันล้านคนทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตได้ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับอาหารคุณภาพอยู่ที่ 3.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ทำให้ผู้มีรายได้น้อยยิ่งเผชิญความท้าทายในการซื้ออาหาร
ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า การสูญเสียอาหารเป็นปัญหาที่สำคัญ ในปี 2565 มีการสูญเสียอาหารเฉลี่ยถึง 132 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในสหภาพยุโรป การสูญเสียนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างความลำบากแก่ผู้คนที่ขาดแคลนอาหาร
เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สหภาพยุโรปได้กำหนดเป้าหมายในการลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและการบริโภคให้ได้ 20-40% ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ยังมีการออกแนวทางส่งเสริมการบริจาคอาหารที่สามารถบริโภคได้ เพื่อลดปริมาณอาหารที่ต้องสูญเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
ในปี 2567 การเฉลิมฉลอง "วันอาหารโลก" สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ซับซ้อนและความร่วมมือที่จำเป็นในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลผลิตเกษตรที่ไม่แน่นอน โลกจำเป็นต้องปรับปรุงการกระจายทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดความไม่เท่าเทียมทางอาหารและสร้างความมั่นคงทางโภชนาการสำหรับทุกคน
อ้างอิง: