วันนี้ 27 ตุลาคม 2567 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ขอเชิญพสนิกรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน
โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ณ วัดอรุณราชวรารามตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สะพานพระราม 8 จนถึงวัดอรุณราชวราราม ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 15.00 น.-17.00 น.
“เรือพระราชพิธี” ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค 2567
เรือพระที่นั่ง ศรีสุพรรณหงส์
- เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ หรือ เรือสุพรรณหงส์ สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยอยุธยา ลำปัจจุบัน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) แล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เมื่อพุทธศักราช 2454 โขนเรือรูปหัวของหงส์
- ลำตัวเรือทอดยาว คือ ส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่ห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ตอนกลางลำเรือ มีประทับเรียกราชบัลลังก์กัญญา สำหรับพระเจ้าอยู่หัว หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรือสุพรรณหงส์ ได้รับรางวัลยกย่อง เป็นเรือมรดกโลก จาก "World Ship Trust" เมื่อศักราช 2535
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9
- สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539 โขนเรือจำหลักรูปพระนารายณ์ 4 กร ทรงเทพศาสตรา ตรีศูล คทา จักร และสังข์ ทรงเครื่องภูษิตาภรณ์ ใต้ครุฑเป็นช่องสำหรับปืนใหญ่ กลางลำเรือทอดบัลลังลังก์กัญญาและมีแท่นประทับ
เรือพระที่นั่ง อนันตนาคราช
- เป็นเรือพระที่นั่งบัลลังก์ในขบวนพยุหยาตราชลมารค สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ลำปัจจุบันมีการสร้างใหม่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) สำเร็จ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2457 โขนเรือเป็น "พญาอนันตนาคราช" หรือนาค 7 เคียร โดยปกติจะใช้เป็นเรือพระที่นั่งรองหรือเรือเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานบุษบกสำหรับพระพุทธรูปสำคัญ นับเป็นเรือพระที่นั่งที่มีความงดงามอีกลำหนึ่ง
- อนึ่ง เคยมีการพิมพ์รูปเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชด้านหลังธนบัตร 20 บาท โดยจัดพิมพ์และใช้ตั้งแต่ พ.ศ.ศ. 2514 ปัจจุบันเลิกพิมพ์แล้ว
เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
- สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โขนเรือจำหลักปิดทองเป็นรูปนาคเล็ก ๆ จำนวนมาก ตอนกลางลำเรือมีราชบัลลังก์กัญญา เป็นที่ประทับเปลื้องเครื่องหรือเปลื้องพระชฎามหากฐินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เรือรูปสัตว์
เรืออสุรวายุภักษ์
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นรูปครึ่งยักษ์ครึ่งนก ส่วนบนเป็นยักษ์ ส่วนล่างเป็นนก มีองค์เป็นสีม่วง หัวเรือมีช่องสำหรับติดตั้งปืนใหญ่ 1 กระบอก ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และถูกระเบิดทำลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9
เรืออสุรปักษี
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นรูปครึ่งยักษ์ครึ่งนก ส่วนบนเป็นยักษ์ ส่วนล่างเป็นนก มีองค์เป็นสีเขียว ปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีดำ เขียนลวดลายดอกพุตตานสีทอง หัวเรือมีช่องสำหรับติดตั้งปืนใหญ่ 1 กระบอก ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และได้รับการซ่อมแซมในสมัยรัชกาลที่ 9
เรือกระบี่ปราบเมืองมาร
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นวานรกายสีขาวเครื่องประดับกายและผ้านุ่งลงรักปิดทองประดับกระจก หัวเรือมีช่องสำหรับ ติดตั้งปืนใหญ่ 1กระบอก ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนจะถูกระเบิดเสียหาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือเพียงโขนเรือ โดยซ่อมแซมโขนแสร้างตัวเรือขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2510
เรือกระบี่ราญรอนราพณ์
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นวานรกายสีดำ เครื่องประดับกาย และ ผ้านุ่งลงรักปิดทองประดับกระจก หัวเรือมีช่องสำหรับ ติดตั้งปืนใหญ่ 1 กระบอก
เรือครุฑเหินเห็จ
- เรือครุฑเหินเห็จ เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นรูปครุฑยุดนาคมีกายสีแดง หัวเรือมีช่องสำหรับติดตั้งปืนใหญ่ 1 กระบอก เดิมเรียกกันว่า "เรือครุฑเหิรระเห็จ" สร้างขึ้นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 1 และบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2505
เรือครุฑเตร็จไตรจักร
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นรูปครุฑยุดนาค มีกายสีชมพู หัวเรือมีช่องสำหรับติดตั้งปืนใหญ่ 1กระบอก สร้างครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อน ถูกระเบิดชำรุดซึ่งกรมศิลปากรเก็บหัวเรือและท้ายเรือไว้ โดยลำปัจจุบันสร้างใหม่เมื่อ พ.ศ. 2511
สุครีพครองเมือง
- เป็นเรือรูปสัตว์ในประเภทเรือเหล่าแสนยากร โขนเรือเป็นรูปสุครีพ (ลิงมีฤทธิ์กายสีแดง ตัวละครจากรามเกียรติ์ เป็นน้องชายของพาลี) ปิดทองประดับกระจก ภายในเรือมีสีแดง ภายนอกทาสีดำ เขียนลวดลายดอกพุตตานสีทอง หัวเรือมีช่องสำหรับ ติดตั้งปืนใหญ่ 1 กระบอก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ซ่อมแซมอีกครั้งในรัชกาลที่ 9 เมื่อ พ.ศ. 2514
เรือพิฆาต
เรือเสือทยานชล และ เรือเสือคำรณสินธุ์
- ทั้ง 2 ลำหัวเรือเป็นรูปเสือ มีปืนจ่ารง 1 กระบอก จัดเป็นเรือรบโบราณประเภทเรือพิฆาต ในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทั้ง 2 ลำจะแล่นส่าย โดยเรือเสือทยานชลแล่นส่ายนอกด้านขวาและ เรือคำรณสินธุ์แล่นส่ายนอกด้านซ้าย แม้ไม่ปรากฎหลักฐานที่สร้าง แต่พบว่ามีลักษณะคล้ายคลึง กับรูปวาดเรือพิฆาตในริ้วกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เรือคู่ชัก
เรือเอกไชยเหินหาว เรือเอกไชยหลาวทอง
- เป็นเรือคู่ชัก สำหรับใช้ช่วยชักลากเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในงานพระราชพิธีเมื่อน้ำเชี่ยวหรือต้องการให้เรือแล่นเร็วขึ้น ตลอดจนในกรณีที่ฝีพายไม่เพียงพอ ด้านข้างเรือทั้ง 2 ลำวาดลวดลายเป็นตัวเหราสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่มีรูปร่างส่วนบนเป็นนาค ส่วนล่างเป็นมังกร สำหรับเรือเอกไชยเหินหาว สร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนถูกระเบิดได้รับความเสียหายในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือลำปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2508
เรือประตู
เรือทองขวานฟ้า และเรือทองบ้าบิ่น
- เรือทองขวานฟ้า และ เรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือประตูหน้าคู่แรกในขบวนพยุหยาตราชลมารค เรือลำเดิมทั้ง 2 ลำ ไม่พบหลักฐานการสร้าง แต่ตัวเรือได้รับความเสียหายจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 กรมศิลปากรได้เก็บหัวเรือและท้ายเรือรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ ก่อนที่จะสร้างตัวเรือขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2507 โดยใช้หัวเรือเดิมและได้แกะสลักลวดลาย คาดหัว-ท้ายเรือ ปิดทองประดับกระจกพร้อมกับจัดทำเครื่องตกแต่งเรือใหม่
เรือกลอง
เรืออีเหลืองและเรือแตงโม
- จัดเป็นเรือกลองในขบวนพยุหยาตราชลมารค มีปี่ชวาและ กลองแขกสำหรับบรรเลงลำละ 6 นาย โดยเรืออีเหลืองจะอยู่หน้าสุดของริ้วสายกลาง เป็นเรือสำหรับรองผู้บัญชาการของขบวนเรือ ส่วนเรือแตงโม อยู่ในริ้วกลางหรือริ้วที่ 3 หน้าเรือพระที่นั่ง เป็นเรือสำหรับผู้บัญชาการของขบวนเรือ
เรือตำรวจ
- มีลักษณะคล้ายเรือแตงโมและเรือดั้ง ไม่ปรากฏหลักฐานที่สร้าง มีพระตำรวจหลวง ชั้นปลัดกรมหรือข้าราชการในพระราชสำนักที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ นั่งประจำ 3 ลำ
เรือดั้ง
- ทำหน้าที่ป้องกันกระบวนเรือหน้า ไม่พบหลักฐานที่สร้าง ในปี พ.ศ. 2506 กรมอู่ทหารเรือต่อเรือดั้ง 6 ขึ้นใหม่ มีการซ่อมใหญ่ในปี พ.ศ. 2524 เรือดั้ง เป็นเรือไม้ทาสีน้ำมัน ไม่มีลวดลาย ปัจจุบันหัวเรือปิดทอง มี 22 ลำมีชื่อเรียกตามลำดับตั้งแต่ เรือดั้ง 1 ถึงเรือดั้ง 22
เรือแซง
- คือเรือกราบ เป็นเรือเล็กและเร็ว จัดเป็นเรืออารักขาพระมหากษัตริย์ ไม่พบหลักฐานที่สร้างมี 7 ลำ มีชื่อเรียกตามลำดับตั้งแต่ เรือแซง 1 ถึงเรือแซง 7
เรือพระราชพิธี 52 ลำ
เรือพระราชพิธี 52 ลำ ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ประกอบด้วย เรือพระราชพิธี จํานวน 52 ลํา ดังนี้
- เรือพระที่นั่ง 4 ลำ เรือสุพรรณหงส์ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เรืออนันตนาคราช เรืออเนกชาติภุชงค์
- เรือรูปสัตว์ 8 ลำ เรืออสุรวายุภักษ์ เรืออสุรปักษี เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือพาลีรั้งทวีป และเรือสุครีพครองเมือง
- เรือพิฆาต 2 ลำ เรือเสือทยานชล และ เรือเสือคำรณสินธุ์
- เรือคู่ชัก 2 ลำ เรือเอกไชยเหินหาว และ เรือเอกไชยหลาวทอง
- เรือประตู 2 ลำ เรือทองขวานฟ้า และ เรือทองบ้าบิ่น
- เรือกลอง 2 ลำ เรืออีเหลือง และ เรือแตงโม
- เรือตำรวจ 3 ลำ
- เรือดั้ง 22 ลำ
- เรือแซง 7 ลำ
สำหรับการจัดรูปขบวนเรือพระราชพิธี จํานวน 52 ลํา แบ่งออกเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ดังนี้
-
ริ้วสายกลาง ซึ่งเป็นเรือสายสำคัญประกอบด้วยเรือพระที่นั่ง 4 ลำ มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ นอกจากนี้มีเรืออีเหลืองเป็นเรือกลองนอก เรือแตงโมซึ่งเป็นเรือของผู้บัญชาการขบวนเรือเป็นเรือกลองใน พร้อมด้วยเรือตำรวจนอก และเรือตำรวจ รวมทั้งสิ้น 10 ลำ
-
ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่งมีเรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่นเป็นเรือประตูหน้าเรือเสือทยานชล และเรือเสือคำรณสินธุ์เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์ 8 ลำ และปิดท้ายริ้วสายในด้วยเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทองซึ่งเป็นเรือคู่ชัก รวมทั้งสิ้น 14 ลำ
-
ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้งและเรือแซง สายละ 14 ลำ รวมทั้งสิ้น 28 ลำ.
ที่มา: พระลาน