ศาลฎีกาสั่ง 2 ส.ส.ภูมิใจไทย “ฉลอง-ภูมิศิษฎ์”หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.แล้ว

07 ก.ย. 2564 | 10:46 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2564 | 19:07 น.

“ศาลฎีกานักการเมือง”สั่ง 2 ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย “ฉลอง เทิดวีระพงศ์-ภูมิศิษฎ์ คงมี” หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตั้งแต่ 3 ก.ย.64 คดีเสียบบัตรแทนกัน

วันนี้(7 ก.ย.64) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดำ ที่คมจ.3/2564  มีคำสั่งให้นายฉลอง เทอดวีระพงศ์  และนายภูมิศิษฎ์ คงมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพัทลุง พรรคภูมิใจไทย หยุดการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตั้งแต่ วันที่ 3 กันยายน 2564 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 235 วรรค สาม (กรณีเสียบบัตรแทนกัน)

                            ศาลฎีกาสั่ง 2 ส.ส.ภูมิใจไทย “ฉลอง-ภูมิศิษฎ์”หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.แล้ว

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำสั่งดังกล่าว ทำให้พรรคภูมิใจไทย เหลือส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่จำนวน 59 คน จากเดิมที่มี 61 คน

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.64 ที่ผ่านมาศาลฎีกาได้มีคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ คมจ. 3/2564 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ยื่นร้อง  นายฉลอง เทอดวีระพงศ์  แล ะนายภูมิศิษฎ์ คงมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพัทลุง พรรคภูมิใจไทย เรื่องการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (ชั้นรับคำร้อง) ในคดีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดมาตรฐานจริยธรรมฯ อย่างร้ายแรง จากการเสียบบัตรแทนกัน

 

คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่าผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่นับ แต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษาให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับ แต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน10ปีตามรธน. 60 มาตรา 235 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561มาตรา87และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระรวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 6-8,11,17 และ 27

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานชัดเจน เพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปได้ และผู้ร้องดำเนินการตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พ.ศ. 2561 ครบถ้วนแล้ว

 

ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้รับคำร้องของผู้ร้องเเละสั่งผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษาตาม รธน.60 มาตรา 235วรรคสาม

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ให้มีผลตั้งแต่วันที่รับคำร้อง 3 ก.ย. 64 โดยศาลมีเอกสารแจ้งไปยังรัฐสภาแล้ว

 

สำหรับ “คดีเสียบบัตรแทนกัน” ทางคณะกรรมการป้องกันและปราปปราม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดส.ส.พรรคภูมิใจไทย 3 ราย

 

โดย 3 ส.ส.ภูมิใจไทยดังกล่าวที่ถูกชี้มูลความผิด ประกอบด้วย นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง เขต 2, นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ (ปัจจุบันพ้นส.ส.ไปแล้ว) และ นายภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง เขต 1

 

กรณีของ “3 ส.ส.ภูมิใจไทย” ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนคำฟ้องไปยัง “ศาลฎีกาฯ” เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา

 

โดยกรณีของ “ 3 ส.ส.ภูมิใจไทย” จะมี 2 คน คือ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ และ นายภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง ที่รอผลว่าศาลฎีกาจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.หรือไม่ ยกเว้น นางนที ที่พ้นจากส.ส.ไปแล้ว

สำหรับ “คดีเสียบบัตรแทนกัน” เกิดขึ้นในการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบา ท วาระที่ 2 และวาระ 3 ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ม.ค.2563

 

โดย ป.ป.ช.มีมติชี้มูล 4 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ประกอบด้วย จากพรรคภูมิใจไทย 3 คน คือ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง, นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ  นายภูมิศิษฏ์ คงมี ส.ส.พัทลุง และพลังประชารัฐ 1 คน คือ น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.

 

ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายฉลอง นายภูมิศิษฐ์  นางนาที ในความผิด พ.ร.บ.กาป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ที่บัญญัติไว้ว่า

 

“เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

คดีอาญา ป.ป.ช.ส่งให้อัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนความผิด “จริยธรรมร้ายแรง”  ป.ป.ช.จะส่งให้ศาลฎีกาโดยตรง