วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับชาติ ครั้งที่ 6 "ท้องถิ่นร่วมใจ ปลอดภัยทุกชีวิต" ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตจังหวัดพัทลุง โดยมีรองผวจ.พัทลุง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ผู้แทนอบจ. ผู้แทนจากสาธารณสุข วิทยากร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ
นายนิพนธ์ กล่าวว่า การจัดประชุมการแพทย์ฉุกเฉินฯ ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการในให้การบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อการเข้าถึงบริการของประชาชน ซึ่งท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน อันจะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึง เท่าเทียม มีคุณภาพมาตรฐาน และได้รับการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์
โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยงานหลักการแพทย์ฉุกเฉิน ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 เพราะการแพทย์ฉุกเฉินเป็นการรักษาพยาบาลเบื้องต้น จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น
รวมทั้งพ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่องหลักเกณฑ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงาน และบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ หากประเทศไทยมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานประชาชนสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ก็สามารถลดการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือ การเจ็บป่วยฉุกเฉินได้
เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนานาประเทศที่เข้ามาติดต่อหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยว่า หากเกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉินในประเทศไทย เราก็มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่สามารถรองรับได้
ดังนั้น การแพทย์ฉุกเฉินจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยว พวกเราจึงต้องมาช่วยกันดูแลระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีคุณภาพ มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดยมี อปท.เป็นกลไกที่สำคัญ ที่จะทำให้การแพทย์ฉุกเฉินมีความทั่วถึง ครอบคลุม เท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกันในการดูแลประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน
ดังนั้น จึงต้องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องช่วยกันส่งเสริม สนับสนุน อปท.ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องช่วยกันทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย สามารถให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม และเป็นแบบอย่างที่ดี
นอกจากนี้ ในเรื่องความปลอดภัยทางถนนที่ยังเป็นภัยคุกคามคนไทยทำให้แต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตบนท้องถนนเฉลี่ยปีละ 20,000 ราย ซึ่งจุดนี้หากระบบการแพทย์ฉุกเฉินสามารถบูรณาการให้เข้ากับการช่วยเหลือที่รวดเร็ว โดยเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วระบบการแพทย์ฉุกเฉินสามารถให้การช่วยเหลือทันทีในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้จะเป็นการช่วยรักษาชีวิตเป็นการเติมบุญให้กับเพื่อนมนุษย์ และเมื่อทั้งสองระบบนี้ได้เดินควบคู่กันได้ เราก็ลดอัตราการตายและบาดเจ็บพิการลงได้อีกทางหนึ่ง
ในการจัดประชุมวิชาการครั้งนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้นำความรู้ ประสบการณ์หรือผลงานของพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จ กลับไปปรับปรุงพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่เพื่อทำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินมีความก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น