วันนี้ (22 ก.ย.65) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่เห็นพ้องกับศาลปกครองชั้นต้น ที่รับคำขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษา ลงวันที่ 1ส.ค.2565 และมีคำสั่งให้มีการทุเลาการบังคับการดำเนินการตามประกาศเชิญชวนเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ฉบับลงวันที่ 10 ก.ย.2564 ซึ่งมีผลเป็นการระงับการดำเนินการลงนามในสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2565
ระหว่างกรมธนารักษ์ กับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นการฉุกเฉินตามข้อ 72/1 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2543 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา หรือ มีคำสั่งชี้ขาดคดี หรือ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นยกคำขอดังกล่าวของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า ศาลปกครองชั้นต้นได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 และศาลปกครองชั้นต้นได้ดำเนินการตามข้อ 72/1 แห่งระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2543 และมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับการดำเนินการตามประกาศเชิญชวนเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ฉบับลงวันที่ 10 ก.ย.2564
กรณีจึงเห็นได้ว่า เป็นการพิจารณาการทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีไม่ใช่การกำหนดมาตรการ หรือ วิธีการคุ้มครองอย่างใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ก่อนการพิพากษา แม้บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดี จะมีคำขอให้คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า/บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก กรมธนารักษ์ คณะกรรมการที่ราชพัสดุ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 หยุดการกระทำละเมิด โดยให้งดเว้นการกระทำใดๆ ตามกระบวนการคัดเลือกเอกชน ตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกลงวันที่ 10 ก.ย.2564
แต่ในการบรรยายฟ้องไม่ได้อ้างความเสียหาย และมีคำขอเรียกค่าเสียหายจากการกระทำดังกล่าว คำขอในส่วนนี้ จึงเป็นคำขอที่ประสงค์ให้ศาลกำหนดวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราว คดีนี้จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด ที่จะมาขอมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ก่อนการพิพากษาได้
เมื่อคดีนี้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1) พ.ร.บ.จะตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 แต่เมื่อพิจารณาคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษา ที่ขอให้ระงับการลงนามสัญญาในวันที่ 3 ส.ค.2565 ฉบับลงวันที่ 1 ส.ค.2565 ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด(มหาชน)
โดยอ้างว่าจะมีการลงนามในสัญญาระหว่างกรมธนารักษ์ กับ บริษัทวงศ์สยามก่อสร้าง จำกัด ผู้ร้องสอด โดย บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด สามารถชำระเงินค่าแลกเข้าเพื่อทำสัญญาเป็นเงินจำนวน 580 ล้านบาท ได้ทั้งๆ ที่บริษัทวงษ์สยามฯ ได้เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญาเป็นเงินจำนวน 1,450 ล้านบาท มาตั้งแต่ต้น ในชั้นการยื่นข้อเสนอคัดเลือก จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังเป็นการกระทำซ้ำและจงใจกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง
จึงเห็นได้ว่า คำขอของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด(มหาชน) เป็นการขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 โดยเฉพาะกรมธนารักษ์ หยุดดำเนินการลงนามในสัญญากับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ในวันที่ 3 ส.ค.2565 เพื่อรอให้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ก่อน และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 หยุดดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามประกาศเชิญชวนเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ฉบับลงวันที่ 10 ก.ย.2564 หรือประกาศเชิญชวนเอกชนครั้งที่ 2 ไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อรอให้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ก่อน
โดยอ้างว่ากรมธนารักษ์ ตั้งใจกระทำซ้ำ หรือ กระทำต่อไป ซึ่งการละเมิด หรือ การกระทำที่ถูกฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา255(2)(ก) คำขอของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด(มหาชน) ดังกล่าว จึงเป็นคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการ หรือวิธีการคุ้มครองอย่างใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
คำขอดังกล่าวเป็นคำขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ไม่ใช่คำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ที่เป็นเหตุที่พิพาทคดีนี้ ศาลปกครองชั้นต้น จึงไม่อาจรับคำขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวมาพิจารณาในคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ตามมติของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 16/2560 ลงวันที่ 4 ต.ค.2560
ด้าน นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ทราบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดแล้ว ซึ่งกรมธนารักษ์ก็จะได้มีการพิจารณาเรื่องการเซ็นสัญญาการดำเนินโครงการท่อส่งน้ำในภาคตะวันออก กับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้างฯ ในฐานะผู้ชนะการประมูลต่อไป แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นเมื่อใด