"ประธานสภา" ปมแตกหัก สารพัดอุปสรรค ก้าวไกลฝ่าดงระเบิด สู่เก้าอี้นายก

จากกรณีความไม่ชัดเจนของตำแหน่งประธานสภา ที่แม้จะมีการประชุมหัวหน้าพรรค และแกนนำ 8 พรรค ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด โดยทั้งนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่างก็ให้รอความชัดเจนในวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่มีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาแล้ว

รายการเนชั่นสุดสัปดาห์ วันที่ 2 กรกฎาคม 2566 ดำเนินรายการโดย นายสมชาย มีเสน และนายปกรณ์ พึ่งเนตร ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ทางการเมือง ตั้งแต่การโหวตเลือกประธานสภา ไปจนถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 

โดยวิเคราะห์ว่า "เก้าอี้ประธานสภา" จะเป็นจุดแตกหักของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล โดยจะเห็นได้ว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยได้มีความเคลื่อนไหวจากสมาชิกพรรค ซึ่งนำโดยนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยว่า ตำแหน่งประธานสภาควรเป็นของพรรคเพื่อไทย 

จากนั้นพรรคก้าวไกล ก็ได้เปิดตัว "หมออ๋อง" นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เป็นแคนดิเดตประธานสภา ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังไร้ข้อสรุปใดๆจากการประชุม ซึ่งวิเคราะห์ว่า หากพรรคก้าวไกลจะได้ตำแหน่งประธานสภาได้ จะต้องเกิดจากความยินยอมยกให้ของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

และได้เปิดเผยคะแนนเสียงสนับสนุนประธานสภาออกเป็น 2ขั้ว โดย ขั้วที่สนับสนุนประธานสภาจากพรรคเพื่อไทย ประกอบไปด้วย พรรคพลังประชารัฐ 40เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10เสียง พรรคประชาชาติ 9เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า 2เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง และเมื่อรวมกับพรรคเพื่อไทยเอง อีก 141เสียง จะทำให้มีเสียงโหวตประธานสภาจากพรรคเพื่อไทยถึง 206 เสียง โดยคาดว่าคือ นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย 

ในขณะที่เสียงสนับสนุนประธานสภาจากพรรคก้าวไกล มีเพียง 158เสียง เป็นเสียงของพรรคก้าวไกลเอง 151เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง และเป็นธรรมอีก 1เสียง โดยจากการตรวจสอบคาดว่า พรรคเพื่อไทยจะให้มีการฟรีโหวต เนื่องจากสังคม เริ่มมีความเข้าใจในกระบวนการโหวตเลือกประธานสภาแล้ว

นอกจากนั้น ยังได้วิเคราะห์ถึงกับระเบิดที่พรรคก้าวไกลยังต้องเผชิญในเส้นทางการเมือง ทั้งเรื่องของการมีพันธมิตรที่เหนียวแน่น ,การหาเสียงสนับสนุนจากส.ว.ให้ถึง 64เสียง ,กรณีหุ้นไอทีวี ,กรณีมาตรา 112 และกรณีบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ที่ชี้แจงต่อ ปปช.อีกด้วย