วันนี้(26 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.10/2566 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ฟ้อง นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย
กรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยถูกกล่าวหาว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่10 ก.ย. และวันที่ 11 ก.ย.2556 เวลากลางวัน ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาวาระที่ 2 ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา
เมื่อประธานในที่ประชุมร่วมรัฐสภาในขณะนั้น แจ้งให้สมาชิกลงมติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จำเลยได้นำบัตรประจำตัวและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลย และของสมาชิกรัฐสภารายอื่นอีกหลายใบอันเกินกว่าจำนวนบัตร แสดงตน และ ลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ ที่จำเลย และสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งจะพึงมี และใช้ได้เพียงคนละ 1 ใบ คนละ 1 เสียง มาใช้แสดงตนและลงคะแนน ของจำเลย
และแสดงตนและออกเสียงแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่น โดยเสียบบัตรแสดงตนและลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวหมุนเวียนใส่เข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนน และกดปุ่ม เพื่อแสดงตน และลงมติคราวละหลายใบ ในการออกเสียงลงคะแนนในคราวเดียวกัน อันเป็นการใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเกินกว่า 1 เสียงในการลงคะแนนแต่ละครั้ง
การกระทำของจำเลยมีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ทุจริต บิดเบือน ขัดต่อกฎหมาย และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาโดยชัดแจ้ง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย อันเป็นการกระทำการในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมิอาจถือได้ว่า มติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และข้อบังคับการประชุมรัฐสภาแต่อย่างใด
อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ หรือ ใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือ หน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา อันเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทยโดยส่วนรวม และเป็นการกระทำโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542มาตรา 4, 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4, 172, 192, 198 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามฟ้อง จำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 16 เดือน ทั้งนี้พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงแม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดใด ๆ มาก่อน ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานยืนยันประกอบคลิปวิดีทัศน์หมาย 5 รายการ โดยเป็นคลิปวิดีทัศน์ที่จำเลยรับว่าบุคคลในภาพเคลื่อนไหว คือ จำเลย ซึ่งคลิปวิดีทัศน์ ศาลฎีกาฯ ส่งไปตรวจพิสูจน์ ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลการตรวจพิสูจน์ไม่พบร่องรอยการตัดต่อของคลิปวิดีทัศน์ ทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวิดีทัศน์นั้น ตรงกับข้อความที่บันทึกไว้ในรายงานการประชุมรัฐสภาตามเอกสาร
พยานหลักฐานตามทางไต่สวนล้วนสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน เชื่อว่า คลิปวิดีทัศน์เป็นภาพเหตุการณ์ลงคะแนนระหว่างร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2556 ส่วนคลิปวิดีทัศน์อื่นเป็นเหตุการณ์ ลงมติอภิปรายที่มีการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ภาพของจำเลยที่นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน และ ลงคะแนน ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลย และสมาชิกรายอื่นเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น ดังนั้น การที่จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและ ลงคะแนนซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลย และสมาชิกรายอื่น เสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนหลายใบเพื่อลงคะแนนแทนสมาชิกอื่น
ในการประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาใน มาตรา 9 และมาตรา 10 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. และวันที่ 11 ก.ย. 2556 อันเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐาน ของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 122 ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ ทั้งเป็นการขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริตที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ตามมาตรา 123 และขัดต่อการออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรคสาม
การกระทำของจำเลย จึงมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ตามบทนิยามของพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 เป็นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือ หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ปวงชนชาวไทย ฝ่ายนิติบัญญัติ สมาชิกรัฐสภาอื่น ประชาชน และ ผู้มีชื่ออื่น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์ จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุก นายนริศร รวม 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญามาแล้ว กรณีเสียบบัตรแทนกัน ตามพ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542