วันที่ 4 มีนาคม 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายปรัชญา อึ้งรังษี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในเขตบางคอแหลม ถ.เจริญกรุง
นายกรณ์ ได้แนะนำตัวผู้สมัครและสอบถามความเป็นอยู่ของพี่ประชาชน ซึ่งมีร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยเป็นจำนวนมาก โดยประชาชนให้ความสนใจนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ของพรรคชาติพัฒนากล้า เพราะหลายคนก็พบเจอปัญหาหนี้นอกระบบ เพราะไม่สามารถกู้เงินในระบบได้
นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามีนโยบายการหาเสียงที่ชัดเจนว่ามุ่งเน้นไปที่ต้นตอของปัญหา ไม่เน้นประชานิยม เนื่องจากมองว่านโยบายประชานิยม เช่น พักหนี้ ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการผลักปัญหาออกไปโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไร
“เราจึงเลือกที่จะนำเสนอนโยบายที่สร้างโอกาสให้ประชาชนปลดหนี้ ลดหนี้ โดยยกตัวอย่างในช่วงวิกฤติโควิด พรรคได้ทำโครงการกล้าปลดหนี้ มีประชาชนมาขอคำปรึกษาว่าเขามีหนี้นอกระบบอยู่ 50,000 และไม่สามารถกู้เงินในระบบได้ เราจึงช่วยหาสถาบันการเงินมาปล่อยกู้ให้ 100,000 บาท เพื่อปลดหนี้นอกระบบที่มี
และอีก 50,000 บาท เขานำไปวางเงินดาวน์เปิดร้านหมูกระทะ จนปัจจุบันกิจการรุ่งเรือง สามารถปลดหนี้ได้ และหารายได้เลี้ยงครอบครัวได้สบาย ๆ เพราะเขาได้โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญให้เขาเดินต่อได้”
นายกรณ์ กล่าวว่า วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับคนรุ่นใหม่แถวสามย่าน เขาเป็นเอเย่นต์ขายบ้าน เขาบอกว่า บ้านที่คนส่วนใหญ่สนใจราคาอยู่ประมาณ 2 ล้าน และถ้าคนเจตนาจะมีบ้าน 10 คน แบงก์จะสามารถปล่อยกู้ได้เพียง 2 คนเท่านั้น ในขณะที่อีก 8 คน ก็ยังต้องเช่าบ้านที่ราคาแพงกว่าเงินที่ใช้ผ่อนบ้าน แทนที่จะให้เขากู้เงินแล้วเอาเงินค่าเช่ามาเป็นเงินผ่อน ที่ต้องจ่ายไปโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา
โอกาสการในการกู้ยืมเงินเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเมื่อเทียบกับออสเตรเลีย ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 4% ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน 5% ส่วนต่าง 1% เช่นเดียวกับมาเลเซีย ถ้าอัตราส่วนต่างไม่เกิน 2% ในขณะที่ประเทศไทย ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1% และดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน 6% ทำไมส่วนต่างเราสูงกว่ากันมาก แต่บ้านเราไม่มีใครตั้งคำถามแบบนี้ ไม่มีคนคิดเชิงโครงสร้าง ที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
“ชีวิตผมเอง 20 ปี ผมทำธุรกิจมา เหมือนกับ คุณปรัชญา ก็ทำธุรกิจ และไม่ว่าอาชีพอะไรก็ตามในทุกประสบการณ์ ก็เป็นประโยชน์ที่จะเข้ามาทำงานการเมือง แต่ความเข้าใจในระบบเศรษฐกิจ มีความสำคัญ ที่จะเป็นเส้นแบ่งสำคัญของนักธุรกิจกับนักการเมืองคือ จิตสาธารณะ ความเสียสละ ที่เราต้องปรับตัว เพราะเรามีหน้าที่สร้างประโยชน์ให้กับทุกคน ไม่ใช่กลุ่มลูกค้า หรือคนที่เลือกเรา ความเข้าใจตรงนี้ นักธุรกิจมองข้ามไม่ได้ และต้องปรับตัวให้ได้” นายกรณ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยังกล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งของ กกต. รูปแบบใหม่ว่า พรรคชาติพัฒนากล้า โดยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้ยื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านการแบ่งเขตเลือกตั้งรูปแบบที่ 6, 7 และ 8 เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีการตีความเกี่ยวกับราษฎรในการแบ่งเขตเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีการสรุปการแบ่งเขตเร็วๆ นี้
จึงมาหารือกับ กกต. อีกครั้งว่า การแบ่งเขตรูปแบบที่ 1–5 เป็นไปตามขั้นตอนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่รูปแบบที่ 6, 7 และ 8 ไม่ได้เป็นไปตามราชกิจจานุเบกษา ขัดต่อมาตรา 5 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
อีกทั้งการแบ่งเขตรูปแบบที่ 6, 7 และ 8 แบ่งออกมาอย่างพิสดาร โดย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 27 (1) และ (2) ให้หลักการ 2 เรื่อง คือ ต้องมีความเป็นชุมชนเดียวกัน และคำนึงถึงการเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกันมาก่อน
“ผมคิดว่าดีที่สุดในการพิจารณาว่าจะแบ่งเขตอย่างไรนั้น ต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้ความสะดวก อย่าสร้างความสับสนให้เขา ซึ่งตัวกฎหมายเขาเขียนไว้ดีแล้ว ต้องยึดตามรูปแบบของเขตปกครองเท่าที่ทำได้ แล้วก็ยึดตามเขตพื้นที่ที่ประชาชนมีความคุ้นเคย อย่าไปพยายามซอยพยามแบ่งให้ประชาชนเกิดความสับสน”
ส่วนการแบ่งเขต ส่งผลให้เพิ่มจำนวน ส.ส.ในพื้นที่ ภาคใต้ คือ จ.นครศรีธรรมราช และ ปัตตานี นั้น นายกรณ์ กล่าวว่า ในส่วนของตัวผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้า ลงตัวแล้ว พรรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของจำนวน ส.ส. แต่พรรคส่งผู้สมัครที่คุณภาพและมาตรฐาน เข้าเกณฑ์เป็นตัวเลือกที่ดีให้กับพี่น้องประชาชน
“เราเน้นเรื่องการนำเสนอนโยบาย ที่เข้าถึงประชาชน เน้นเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเป็นหลัก และเราต่างจากพรรคอื่นตรงที่เราจะหาเงินให้ประเทศด้วยยุทธศาสตร์ 7 เฉดสี ที่จะหาเงิน 5 ล้านล้านบาทเข้าประเทศ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ระบุ