คดีมหากาพย์ค่าโง่"โฮปเวลล์" หรือโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) 24,000ล้านบาท ที่ต่อสู่มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2551 ระหว่างรฟท.กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือโฮปเวลล์โฮลดิงส์บริษัทสัญชาติฮ่องกง ของ นายกอร์ดอนวู มหาเศรษฐีฮองกง(ปัจจุบันเสียชีวิต) ถูกปิดฉากลง ด้วย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่17 มีนาคม 2564 ชี้ชัดว่า ศาลปกครองสูงสุดนับอายุความของคดีค่โง่โฮปเวลล์ผิดกฎหมาย กล่าวคือ ศาลปกครองนับจากวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ แต่ตามข้อเท็จจริงควรนับจากวันที่ “รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี"
ขณะเดียวกันประเด็นสำคัญศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยอีกว่า มติที่ศาลปกครองสูงสุดนำมาที่ใช้อ้างอิงในการพิจารณาคดีนั้น มิได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบ อีกทั้งไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงนำมาบังคับใช้ไม่ได้ หรือเรียกว่า คดีดังกล่าว มีอันต้องยุติลงเนื่องจากหมดอายุ แหล่งข่าวจากรฟท. ยังระบุชัดว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นศาลสูงสุดถือเป็นที่สุดของการวินิจฉัยคดีรัฐ ย้ำว่า คดีมหากาพย์ค่าโง่โฮปเวลล์ ที่รฟท.และกระทรวงคมนาคมต่อสู้มาอย่างยาวนาน ได้จบลงแล้ว อย่างสมบูรณ์ รฟท.ไม่ต้องเสียงบประมาณ 24,000ล้านบาท ชดเชยค่าเสียหายกรณียกเลิกโครงการดังกล่าว
อีกทั้ง นายกอร์ดอนวู เจ้าของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือโฮปเวลล์โฮลดิงส์ผู้ชนะประมูลโครงการในสมัยนั้นได้เสียชีวิตลง ซึ่งผู้ฟ้องเป็นเพียงผู้รับช่วงต่อ สำหรับสาเหตุการฟ้องร้องเกิดจาก รัฐบาลในสมัยของ นายชวน หลีกภัย มีมติยกเลิกโครงการโฮปเวลล์ นับตั้งแต่ปี 2544 มีสาเหตุมาจากการก่อสร้างล่าช้า จึง ปรับรูปแบบเป็นโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง เป็นโครงการทดแทนและเตรียมเปิดให้บริการในปีนี้แหล่งข่าวรฟท.ยืนยันอีกว่าสำหรับการต่อสู้คดีกระทรวงคมนาคมได้ ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่17พฤศจิกายน 2563 ว่าคำวินิจฉัยของ ศาลปกครอง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ย้อนรอยคดีมหากาพย์ “โฮปเวลล์" โครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และรถไฟฟ้ายกระดับ บนพื้นที่รฟท. ดำเนินการโดยบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือโฮปเวลล์โฮลดิงส์บริษัทสัญชาติฮ่องกงของนายกอร์ดอน วู มหาเศรษฐีชื่อดังในอดีต เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยมีการเปิดประมูลสัมปทานก่อสร้างทางยกระดับเพื่อแก้ปัญหาการจราจร โดยผู้รับสัมปทานจะมีรายได้จากค่าโดยสารรถไฟฟ้า ค่าผ่านทาง และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ตลอดเส้นทาง ผลการประมูล บริษัท โฮปเวลล์โฮลดิงส์ ของนายกอร์ดอน วู เป็นผู้ชนะเหนือคู่แข่งคือ บริษัท ลาวาลิน (SNC-Lavalin) จากแคนาดา มีการลงนามในสัญญาโดยนายมนตรี พงษ์พานิช อดีต รัฐมนตรีว่าการคมนาคม จากพรรคกิจสังคม กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม2533 อายุสัมปทาน 30 ปี มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม2534-5ธันวาคม2542
ต่อมาภายหลังรัฐประหารในประเทศไทยในปี 2534 รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ได้เข้ามาตรวจสอบสัญญาสัมปทานทั้งหมดที่มีเงื่อนไขการผูกขาด โครงการโฮปเวลล์ เป็นโครงการหนึ่งที่ถูกตรวจสอบโดยนายนุกูล ประจวบเหมาะ รัฐมนตรีว่ากากระทรวงคมนาคมในขณะนั้น และได้ประกาศล้มโครงการโฮปเวลล์
แต่ต่อมา โครงการโฮปเวลล์ได้รับการผลักดันต่อ ในรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัยที่ 1 โดยพันเอกวินัย สมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่ยังประสบปัญหาสำคัญ 2 ประการ คือ ปัญหาเรื่องเงินทุน แหล่งเงินกู้ หลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญา และปัญหาเรื่องแบบก่อสร้าง ระยะห่างระหว่างรางรถไฟ กับไหล่ทางมีน้อยเกินไปเพราะข้อจำกัดของพื้นที่ และไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยสากล
ต่อมาในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม2540 ให้ความเห็นชอบบอกเลิกสัญญากับโฮปเวลล์ หลังจากบริษัทโฮปเวลล์หยุดการก่อสร้างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เดือน สิงหาคม2540
และโครงการการก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์ ได้สิ้นสุดลงในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 หลังดำเนินการก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี มีความคืบหน้าเพียง 13.77 % ขณะที่แผนงานกำหนดว่าควรจะมีความคืบหน้า 89.75% กระทรวงคมนาคมได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2541 โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในสมัยนั้น
ภายหลังจากบอกเลิกสัญญา รฟท.ถือว่าโครงสร้างทุกอย่างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.และได้มีความพยายามนำโครงสร้างที่สร้างเสร็จแล้วมาพัฒนาต่อ จากผลการศึกษาสรุปว่าจะนำโครงสร้างบางส่วนมาใช้ประโยชน์ในรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต
ขณะที่ บริษัท โฮปเวลล์โฮลดิ้ง ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และ รฟท.เป็นค่าใช้จากการเข้ามาลงทุนเป็นเงิน 56,000 ล้านบาท ในขณะที่ รฟท.ก็เรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการเป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท
โดยคณะอนุญาโตตุลาการ ได้วินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี2551 ให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.คืนเงินชดเชยให้โฮปเวลล์โฮลดิงส์ เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำระไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38,749,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาทให้กับบริษัท
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563ที่ผ่านมา ศาลปกครองแถลงว่า ศาลปกครองสูงสุดได้นัดอ่านคำพิพากษาคดี บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นฟ้องกระทรวงคมนาคมกับพวกรวม 2 ราย เพื่อขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ศาลปกครองฯ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองชั้นต้น หรือศาลปกครองกลางมีพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 กันยายน.2551 ทั้งหมด และเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 ลงวันที่ 15 ตุลาคม2551 ทั้งหมด และมีคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 ลงวันที่ 30 กันยายน2551 และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ร้องทั้งสอง
เนื่องจากศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อคำนวณนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม2541 ซึ่งเป็นวันที่ผู้คัดค้านรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการเสนอข้อพิพาทแล้ว ระยะเวลาของการเสนอข้อพิพาทจะครบกำหนด 5ปี คือ ในวันที่ 30 มกราคม 2546 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 การเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการจึงเกินกว่ากำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดตามนัยมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และเมื่อระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเป็นเรื่องสำคัญ
ถือได้ว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลปกครองสามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าในกรณีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจรับข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ที่ผู้คัดค้านยื่นต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการไว้พิจารณาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดได้
การที่คณะอนุญาโตตุลาการรับข้อพิพาทดังกล่าวไว้พิจารณา และต่อมามีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 119/2547 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 64/2551 และการที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นข้อเรียกร้องแย้งเมื่อวันที่ 20 กันยายน2548 จึงเกินกำหนดระยะเวลาตามนัยมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ดังกล่าว
เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการรับข้อเรียกร้องแย้งของผู้ร้องทั้งสองไว้พิจารณา และต่อมามีคำชี้ขาดข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 44/2550 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 70/2551 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกฟ้องคดีจึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
และล่าสุดในวันนี้ ศาลปกครองสูงสูงได้อ่านคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ทำให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท.ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการฯ ในการจ่ายคืนเงินค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หลังบอกเลิกสัญญาสัมปทานระบบการขนส่งทางรถไฟ และถนนยกระดับในกรุงเทพมหานครและการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท.โดยจะต้องคืนเงินชดเชยแก่บริษัท โฮปเวลล์จากการบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด ถือว่าเป็นปิดฉากมหากาพย์"โฮปเวลล์"ที่ยืดยื้อมาอย่างยาวนาน