หากสแกนประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนต้องบอกว่าไทยเป็นประเทศที่เนื้อหอมและเป็นคำตอบสำหรับนักลงทุนไทยและต่างชาติในแง่ของการเป็นฐานการผลิต ด้วยความพร้อมด้าโครงสร้างพื้นฐานและทำเลที่ตั้งศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิศาสตร์การเมืองโลก ทำให้เรากำลังเห็นนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง
นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "FPIT" ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ของอาเซียน ให้ข้อมูลว่า ปีนี้เป็นปีที่บริษัทต่างชาติย้ายและขยายฐานการผลิตจากจีน โดยโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าของไทยกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก
เปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นฐานทุนแห่งใหม่ คาดว่าระยะเวลาของการตั้งฐานจะครอบคลุมไปอีก 2-3 ปี ซึ่งจะดึงดูดซัพพลายเออร์ของธุรกิจที่ย้ายฐานให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติมด้วย สำหรับอุตสาหกรรมที่โดดเด่นและน่าจับตามอง คือ กลุ่มยานยนต์ที่ความต้องการรถยนต์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น และการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ประกอบการต่างชาติที่วางให้ไทยเป็นฐานการผลิต
รวมถึงกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตสดใสจากดีมานด์การนำไปใช้ในภาคการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังขยายตัวต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
สำหรับพื้นที่ยุทธศาสตร์ของไทยที่มีศักยภาพในการรองรับการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ได้แก่ บางพลี-บางนาในโซนจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ด้วยความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค รวมถึงโลเคชันที่สอดรับระบบโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบ โดยในส่วนของบางพลี-บางนาตอบโจทย์ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ต้องการกระจายสินค้าไปในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะที่อยุธยาเป็นเกตเวย์สำหรับการผลิตและขนส่งสินค้าไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน รวมถึงอีอีซีที่เหมาะกับการรองรับธุรกิจการผลิตอย่างชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจโลจิสติกส์ให้บริการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
ปัจจุบัน FPIT มีพื้นที่อาคารอุตสาหกรรมภายใต้การบริหารจัดการ 3.5 ล้าน ตร.ม. มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยอยู่ในพื้นที่บางพลี-บางนา อยุธยา และอีอีซี รวมถึง 3.2 ล้านตร.ม. และอีก 300,000 ตร.ม.กระจายอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ลำพูน ขอนแก่น และปราจีนบุรี รวมถึงในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของบริษัทฯ ในการรองรับทุกความต้องการของลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมผ่านการให้บริการโรงงานและคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมด้วยโซลูชันทันสมัยในรูปแบบของอาคารอุตสาหกรรมแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) และแบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit)
ในปีนี้ บริษัทฯ เสริมขีดความสามารถในการปลดล็อกประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า ด้วยการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมรายแรกของไทยในการพัฒนาอาคารแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ที่เสริมมาตรฐานและฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้กับอาคารอุตสาหกรรมแบบพร้อมใช้ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาอาคารแบบ Built-to-Function แห่งแรก พื้นที่รวม 50,000 ตร.ม.ในโซนบางพลีสำหรับลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ที่เชี่ยวชาญ
สินค้า/บริการเฉพาะทาง รวมถึงลูกค้ากลุ่ม FMCG และกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีความต้องการพื้นที่ในโซนบางพลีอย่างต่อเนื่อง
“จากประสบการณ์ของ FPIT ในฐานะผู้นำตลาดและอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ประกอบกับแนวทางดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) บริษัทฯ จึงเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าทุกรายในแต่ละอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี ด้วยพื้นฐานเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาสินค้าและบริการด้วยโซลูชันใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าได้เสมอ” นายโสภณกล่าว
ขณะเดียวกัน FPIT ยังเดินหน้ารักษาความเป็นผู้นำในการยกระดับมาตรฐานอาคารเพื่ออุตสาหกรรม โดยพัฒนาทุกอาคารอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ภายใต้แนวทางด้านความยั่งยืนสอดรับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) และกลุ่มลูกค้าชั้นนำให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบัน FPIT มีพื้นที่อาคารเขียวรวมกว่า 500,000 ตร.ม.
ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลของทั้ง LEED และ EDGE ซึ่งมากที่สุดในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงการออกแบบที่เกี่ยวกับการยกระดับสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้อาคาร พร้อมตั้งเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2569 จะมีพื้นที่อาคารเขียวเพิ่มเป็น 2 ล้านตร.ม.
นายโสภณ กล่าวว่า ด้วยความพร้อมด้านสินค้าและบริการหลากหลายรูปแบบในระดับพรีเมียมของ FPIT ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทั้งพื้นที่บางพลี-บางนา อยุธยา และอีอีซี บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถรองรับดีมานด์ที่จะเข้ามาในตลาดมากขึ้น ตอบทุกโจทย์การใช้งานของลูกค้าไทยและต่างชาติได้อย่างครอบคลุม และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากดีมานด์โรงงานและคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยศักยภาพของ FPIT จะผลักดันให้บริษัทฯ สามารถขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการเป็น 4 ล้านตร.ม.ภายในปี พ.ศ.2569