ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ของจังหวัดภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก นครสวรรค์ และลำพูน ปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง -31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% คาดการณ์ปี 2567 ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.8%
ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ครึ่งหลัง ปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมีจำนวนประมาณ 16,954 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งแรกปี 2566 -0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0%
ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 1,795 หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3% มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% เป็นโครงการบ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง -2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 พบว่าจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% โดยมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1%
อุปสงค์โดยรวม พบว่าในด้านยอดขายใหม่มีสัดส่วนลดลงโดยในช่วงครึ่งปีหลังมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่เพียง 1,513 หน่วย ลดลง -13.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยโครงการอาคารชุดมียอดขายใหม่จำนวน 252 หน่วย ลดลง22.2% มูลค่า 710 ล้านบาท ลดลง -14.6%
ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรมียอดขายใหม่ จำนวน 1,261 หน่วย ลดลง -10.9% มูลค่า 4,938 ล้านบาท ลดลง -9.1% หากพิจารณาโดยภาพรวมจะพบการลดลงของยอดขายใหม่ในทุกกลุ่มประเภทที่อยู่อาศัย มีเพียงบ้านแฝดเท่านั้นที่มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565
หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่าที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 58.6% เป็นโครงการบ้านเดี่ยวในระดับราคาที่มีหน่วยขายได้สูงสุดคือระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวน 339 หน่วย และระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท มีจำนวน 306 หน่วย
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ และอุปทาน ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยคงค้างรอการขายมีจำนวนถึง 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6 % มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของอาคารชุด ซึ่งมีจำนวน 1,543 หน่วย เพิ่มขึ้น 22.4% มูลค่า 4,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% และโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 13,898 หน่วย เพิ่มขึ้น2.7% มูลค่า 58,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3.7%
จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทการก่อสร้างพบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายจำนวนถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขายจำนวนถึง 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ของจำนวนหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ส่วนบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย 4,040 หน่วย และอยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 2,497 หน่วย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าจับตา