ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เปราะบาง "โฮมโปร" บิ๊กธุรกิจค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้าน ยังคงเดินหน้าลงทุนเชิงรุก ด้วยงบประมาณราว 6,000-8,000 ล้านบาท ในปี 2568 เพื่อขยายสาขาใหม่ 12 แห่ง และพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติ รองรับการเติบโตของธุรกิจ Omni-Channel และความต้องการของผ็บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 ไว้ที่ 75,000-76,000 ล้านบาท เติบโต 4-5% จากปี 2567 ที่มีรายได้ 72,576.52 ล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเผชิญความท้าทาย
แม้เศรษฐกิจจะกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่โฮมโปรยังคงขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยเน้นทำเลที่มีศักยภาพและโมเดลสาขาแบบไฮบริดที่รวมโฮมโปรและเมกาโฮมไว้ในแห่งเดียว ช่วยบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โฮมโปรวางแผนเปิดสาขาใหม่ 12 แห่งในปี 2568 โดยแบ่งเป็นโฮมโปร 7 แห่ง และเมกาโฮม 5 แห่ง พร้อมเพิ่มโมเดลสาขาไฮบริด 6-8 แห่ง เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งรายย่อยและช่างมืออาชีพ รวมถึงปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยมากขึ้น ภายในสิ้นปีนี้ โฮมโปรจะมีสาขาทั้งหมด 130 แห่ง โดยประกอบด้วยโฮมโปร 96 แห่ง, โฮมโปร เอส 5 แห่ง, เมกาโฮม 30 แห่ง และโฮมโปรในมาเลเซีย 7 แห่ง
นอกจากการขยายสาขาแล้ว บริษัทเตรียมลงทุน 1,000 ล้านบาท พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehouse) แห่งใหม่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาดพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร สามารถจัดเก็บสินค้าได้ 70,000-80,000 พาเลท ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการจัดส่ง และรองรับการเติบโตของช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
โดยศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติแห่งใหม่นี้จะช่วยลดการใช้แรงงานได้ถึง 30% และสามารถจัดส่งสินค้าไปยังสาขาและลูกค้าภายในวันเดียว ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความรวดเร็วมากขึ้น
อีกทั้ง โฮมโปรยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Omni-Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เชื่อมโยงกับหน้าร้านได้อย่างไร้รอยต่อ พร้อมขยาย Marketplace และเพิ่มสินค้ากว่า 10,000 รายการ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ในปี 2568 บริษัทคาดว่ายอดขายจากช่องทางออนไลน์จะอยู่ที่ 6,000-8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มียอดขาย 4,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนราว 8-9% ของรายได้รวม นอกจากนี้ โฮมโปรยังนำ Big Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) และเพิ่มบริการที่ช่วยเสริมความสะดวกให้กับลูกค้า เช่น บริการ Home Service ที่มีทีมช่างมากกว่า 2,600 ทีมทั่วประเทศ
เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนและปัจจัยภายนอก โฮมโปรให้ความสำคัญกับการบริหารห่วงโซ่อุปทาน กระจายแหล่งวัตถุดิบ และปรับกลยุทธ์ด้านราคาให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการพลังงานสะอาด โดยเพิ่มการติดตั้งโซล่าร์เซลล์ในสาขาต่างๆ และเดินหน้าโครงการรีไซเคิลวัสดุเก่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในระยะยาว
“โฮมโปรไม่ได้มองแค่การเติบโตระยะสั้น แต่ยังคำนึงถึงอนาคตของธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาสินค้า บริการ และการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม”
แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 อาจเผชิญกับความท้าทาย แต่โฮมโปรยังตั้งเป้ารายได้ในระยะยาวแตะ 100,000 ล้านบาทในปี 2571 โดยอาศัยกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า การพัฒนา Omni-Channel และ Marketplace รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์โฮมโปรที่มีอัตรากำไรสูงขึ้นจาก 21% เป็น 22%
บริษัทมุ่งมั่นเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้านครบวงจร โดยเน้นการเติบโตที่มั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า แม้สภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่โฮมโปรยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ เน้นทำเลที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Omni-Channel และ Big Data เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
การลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติ และกลยุทธ์ ESG ไม่เพียงช่วยในการบริหารต้นทุน แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ปูทางสู่เป้าหมายรายได้ 100,000 ล้านบาทในปี 2571 ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้โฮมโปรจะมีแผนขยายธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
แต่ความท้าทายในปี 2568 ยังต้องอาศัยปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวม กำลังซื้อของผู้บริโภค และการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเดินหน้าพัฒนาสาขา คลังสินค้าอัจฉริยะ และช่องทาง Omni-Channel ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมศักยภาพให้บริษัทเติบโตตามเป้าหมาย แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามองคือตลาดค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้านในภาพรวมจะปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคได้รวดเร็วเพียงใด ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในยุคดิจิทัล