นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยถึง ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ของปี 2566 ของกลุ่มบริษัทบางจาก ว่า ถือเป็นไปตามเป้าหมายและสะท้อนผลลัพธ์จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจากที่เน้นย้ำการเติบโตธุรกิจอย่างมีคุณภาพ โดยในไตรมาส 1 ปี 2566 กลุ่มบริษัทบางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 80,380 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 คิดเป็น EBITDA รวม 10,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 จากไตรมาสก่อน ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสำหรับงวดส่วนของบริษัทใหญ่ 2,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อน ลดลงร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.91 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจในไตรมาสแรกของปี 2566 มีดังนี้
ส่วนค่าการกลั่นพื้นฐานปรับลดลงจาก 14.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 4 ปี 2565 มาอยู่ที่ 11.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือลดลง 3.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักมาจาก Crack Spread ของผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลปรับลดลงตามภาวะตลาดโลก ซึ่งน้ำมันดีเซลเป็นผลิตภัณฑ์ที่โรงกลั่นบางจากฯ ผลิตได้มากที่สุด และในไตรมาสนี้มีการรับรู้ Inventory Loss 4.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือเทียบเท่า 1,687 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงในอัตราที่ต่ำกว่าไตรมาสก่อน
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ ราคาน้ำมันดิบจะยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะในยุโรป แต่ยังมีปัจจัยความกังวลอุปทานตึงตัวที่เพิ่มขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ตัดสินใจปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ค่าการกลั่นของโรงกลั่นประเภท Cracking ที่สิงคโปร์มีแนวโน้มปรับลดลงจากไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ด้านราคาพลังงานที่ยังผันผวน รวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมัน บริษัทฯ จึงยังคงติดตามราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการทำงาน
ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ บางจากฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโต ควบคู่กับการรักษาสมดุลระหว่างการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ด้วยการยึดมั่นการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกมิติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล ได้รับการยอมรับในความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล สะท้อนจากการได้รับการประเมิน MSCI ESG Ratings ที่ระดับ AA ซึ่งเป็นระดับสูงสุดขององค์กรไทยในกลุ่มธุรกิจเดียวกันต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และการได้รับการประเมินความยั่งยืนจาก S&P Global องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเกี่ยวกับความยั่งยืน ซึ่งเป็นผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI ประจำปี 2565 โดยมีคะแนนสูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refining and Marketing ได้รับคะแนนสูงสุด Best Score ใน 11 ด้านจาก 21 ด้านของการประเมิน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบางจากฯ ได้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นับเป็นความคืบหน้าสำคัญของการเข้าทำธุรกรรม โดยเงื่อนไขบังคับก่อน (CP) 2 ใน 3 ข้อ ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย การดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อธุรกรรมแล้วเสร็จจะเป็นการต่อยอดการเติบโตธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มบริษัทบางจากควบคู่กับสร้างประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภค ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการบูรณาการด้าน ESG -สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) บรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) อย่างสมดุล สร้างการเติบโตต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืนของทุกภาคส่วน