สรรพสามิตเล็งเก็บภาษีคาร์บอน ใช้กลไกภาคบังคับ ดูแลสิ่งแวดล้อม

14 ธ.ค. 2566 | 09:14 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ธ.ค. 2566 | 09:14 น.

สรรพสามิตเล็งเก็บภาษีคาร์บอน ใช้กลไกภาคบังคับ ดูแลสิ่งแวดล้อม ชี้แนวทางศึกษา สินค้าใดผลิตด้วยการปล่อยคาร์บอนสูงจะถูกเก็บภาษีในอัตราสูง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2024 หัวข้อเรื่อง “New Excise Tax to move Thailand to low carbon economy” ว่า กรมฯได้ปรับบทบาทและประกาศตัวเองว่าเป็นหน่วยราชการแรกที่ให้ความสำคัญด้าน ESG โดยเราจะไม่จัดเก็บภาษีบาป เหล้า บุหรี่ เพียงอย่างเดียว แต่จะมุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ควบคู่ไปด้วย โดยทุกคนต้องปรับ และช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เนื่องจาก ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต

อย่างไรก็ตาม ไทยได้ร่วมข้อตกลงพันธสัญญาในเวทีโลกต่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อน คือ กำหนดให้ภายในปี 2065 การปล่อยก๊าซคาร์บอนจะต้องเป็นศูนย์ โดยภาคธุรกิจในไทย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตซัพพลายเชนจากต่างประเทศจะได้รับแรงกดดันจากการผลิตที่ต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่เช่นนั้น จะได้รับแรงกดดันทางด้านกำแพงภาษี ซึ่งขณะนี้ ประเทศในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็ได้ออกกติกาทางด้านภาษีมาแล้ว

สำหรับกรมสรรพสามิตเอง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนหลายรายการ ดังนั้น กรมฯ จึงต้องปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับทิศทางที่ดูแลสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยกรมฯ ได้ศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสินค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยนำมาตรฐานโลกมาเป็นแนวทาง ได้แก่ 

1.จัดเก็บระดับคอร์ปอเรท และ 2.จัดเก็บระดับโปรดักส์ ซึ่งในอำนาจของกรมฯ นั้น สามารถจัดเก็บได้เลยจากโปรดักส์ และเห็นว่า การจัดเก็บภาษีสินค้าตั้งแต่ระดับต้นน้ำ เช่น น้ำมัน แก๊ส ถ่านหิน ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่ส่งต่อไปยังสินค้ากลางน้ำและปลายน้ำ จะเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

“ปัจจุบันไทยปล่อยคาร์บอนถึง 372 ล้านตันคาร์บอน แบ่งเป็น กลุ่มพลังงานและขนส่งรวม 70% ซึ่งใน 70% นี้ เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีกรมสรรพสามิต”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่กรมฯต้องคำนึงสำหรับการออกแบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าว คือ เมื่อเก็บแล้ว จะต้องสามารถหักลบกับการจัดเก็บภาษีของต่างชาติได้ จัดเก็บแล้วต้องมีความเป็นธรรม และต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ แต่เรื่องนี้ ต้องคำนึงถึงต้นทุนของประชาชนด้วย ซึ่งผลศึกษาระบุประเทศที่จะช่วยโลกร้อน หรือช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ต้องใช้กลไกภาคบังคับ เพื่อผลที่มีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนเชิงพฤติกรรม

โดยยกตัวอย่าง กรณีที่กรมฯศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนว่า ในอนาคตรถยนต์ใดที่ปล่อยคาร์บอนสูงก็จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูง ซึ่งจะบีบไปเรื่อยๆ ได้แก่

  • รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนมากกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 35% ในปี 2569 และ 38% ในปี 2573
  •  รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอน 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร จะถูกเก็บภาษี 30% ในปี 2569 และ 33% ในปี 2573
  • รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอน 121-150 กรัมต่อกิโลเมตร จะถูกเก็บภาษี 25% ในปี 2569 และ 29% ในปี 2573
  • รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอน 101-120 กรัมต่อกิโลเมตร จะเก็บภาษีในอัตรา 22% ในปี 2569 และ 26% ในปี 2573
  • รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเก็บภาษีในอัตรา 13% ในปี 2569 และ 15% ในปี 2573